J-Translate
「逆転力~ピンチを待て~」(Gyakutenryoku ~Pinch wo Mate~) บทที่ 1
รอวิกฤต...เพื่อพลังแห่งการพลิกผัน
ภาพนี้ถ่ายในสถานที่จัดงานแต่งงานของญาติ ก่อนที่จะมาเป็นไอดอล ฉันก็เคยเป็นเด็กสาวเรียบร้อยมาก่อนนะ
**ข้อความในหนังสือที่ได้แปลมาจากหนังสือต้นฉบับโดยตรง ซึ่งซัซชี่เขียนไว้เมื่อปี 2014 ค่ะ
บทที่ 1 วิกฤตที่กดอยู่กลางหลัง
ก่อนอื่น ขอให้ฉันได้แนะนำตัวเองก่อนนะคะ
ฉันชื่อ ซาชิฮาระ ริโนะ มาจากเมืองโออิตะ จังหวัดโออิตะ อายุ 21 ปี เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1992 ชื่อเล่นชื่อ “ซัซชี่” หรือ “ซาชิโกะ” เป็นสมาชิกทีม H วง HKT48 วงน้องสาวของ AKB48 ที่ทำกิจกรรมเธียเตอร์โดยมีที่ตั้งอยู่ในเมืองฮากาตะ และตอนนี้ฉันก็ควบตำแหน่งผู้จัดการ HKT48 Theater ด้วยค่ะ
แต่เดิมแล้ว ฉันเคยเป็นสมาชิกวง AKB48 มาก่อน โดยเมื่อตอนสมัยที่ยังเป็นเด็กนักเรียนชั้น ม.3 ฉันได้ผ่าน “การออดิชั่นสมาชิกเคงคิวเซย์ของ AKB48 ครั้งที่ 2 (สมาชิกรุ่นที่ 5)” (จัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ค.ศ.2007) จากนั้นก็ได้เดินทางเข้าโตเกียวแล้วเริ่มทำกิจกรรมในปีต่อมา
แรกเริ่มเดิมที เหตุผลสำคัญที่สุดกับการที่ฉันคิดอยากจะมาเป็นไอดอลก็เพราะวิกฤตทางสถานการณ์ของตนเองค่ะ
ในบทนี้ ฉันอยากจะเล่าถึงจุดเริ่มต้นวิกฤตของฉัน ซึ่งเป็นเรื่องราวสมัยที่อยู่ในโออิตะและได้กลายมาเป็นจุดกำเนิดของ “พลังแห่งการพลิกผัน” ค่ะ
คนบ้ายอกับคนเจ้าความคิด
สถานที่ที่ฉันได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นบ้านธรรมดาๆ ทั่วไป มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 4 คน ได้แก่ พ่อ, แม่, พี่ชาย และตัวฉันเอง
จัดได้ว่าเป็นครอบครัวธรรมดาจริงๆ นะคะ ทั้งคุณพ่อที่เป็นคนธรรมดาและคุณแม่ที่เป็นคนธรรมดา ดังนั้นพี่ชายของฉันก็เลยเป็นยิ่งกว่าคนธรรมดาไปด้วย ส่วนตัวฉันเองนั้นไม่เหมือนใครเลย ทั้งนิสัยร่าเริง อีกทั้งยังมีเพื่อนที่เป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงอยู่มากมาย เลยถือได้ว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างแท้จริง
คุณพ่อคุณแม่ของฉันท่านก็เป็นคนประเภทอย่างที่บอกไปค่ะ ทั้งนิสัยร่าเริงและใจกว้าง มีแต่ฉันเท่านั้นที่มีนิสัยซึ่งถูกบิดเบือนออกไปเช่นนี้
ตอนสมัยเด็กๆ ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนเรียบร้อยและดูมืดมน ไม่ชอบการเป็นที่สะดุดตา รวมถึงไม่ชอบมองคนที่เป็นที่สะดุดตาด้วย ฉันเคยคิดด้วยซ้ำว่าพวกคนบ้ายอในชั้นเรียนนี่มัน “เป็นอย่างไรกันนะ?”
คนบ้ายอที่ว่าก็คือ คนที่ไม่เก่งค่ะ แต่ถึงแบบนั้น ตอนนี้ตัวเองก็ได้กลายเป็นคนบ้ายอไปแล้ว
...รู้สึกขึ้นมาได้เลยว่ามันช่างราวกับเป็นพันธุกรรมของพ่อแม่อย่างที่คิดไว้เลย
คุณพ่อของฉันท่านเป็นคนที่คิดบวกมากๆ เป็นคนที่บ้ายอและไม่คิดลึก ส่วนคุณแม่ของฉันนั้นบางครั้งก็รู้สึกได้ว่าท่านก็มีมุมของความเป็นคนเจ้าความคิดอยู่เหมือนกันค่ะ
จากหนังสือโฟโต้บุ๊ค “ซาชิโกะ” ของทางสำนักพิมพ์โคดันฉะที่ออกมาเมื่อปี 2012 (ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนมกราคม 2012) ได้มีการตีพิมพ์จดหมายที่คุณแม่เขียนถึงฉันในตอนท้ายสุดของหนังสือด้วย ในตอนนั้น ฉันใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่กันสองคนในโตเกียว แต่คุณแม่ท่านก็มีเรื่องที่โกหกอยู่ค่ะ
ในตอนท้ายของจดหมายระบุว่า “ฉันคิดว่าตอนนี้ใกล้เวลาที่จะได้กลับโออิตะแล้ว เพราะว่าได้เห็นการเติบโตของเธออย่างเพียงพอแล้วล่ะนะ” หลังจากที่หนังสือออกวางจำหน่ายแล้วประมาณหนึ่งปีคุณแม่ของฉันก็ยังคงอยู่ที่บ้านค่ะ! เพราะว่าใช้ชีวิตในโตเกียวได้อย่างสนุกสนานแล้ว จึงไม่มีความรู้สึกที่อยากจะกลับเลย ท่านจึงโกหกเพื่อให้ผู้คนประทับใจค่ะ
นิสัยนั้นถูกกำหนดด้วยพ่อแม่งั้นหรอ? ทั้งการเป็นคนที่ไม่คิดลึกจากความบ้ายอของคุณพ่อ และความเป็นคนเจ้าความคิดของคุณแม่ ตัวฉันนั้นดูเหมือนว่าจะได้รับการสืบทอดจุดเด่นมาจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่เลยล่ะค่ะ
ทำความรู้สึกที่ “ชอบ” ให้เป็นพลังขับเคลื่อน
สิ่งที่ฉันชอบเมื่อตอนสมัยยังเด็กก็คือ ไอดอล ค่ะ เรียกว่าสมัยยังเด็กหรอ? ตอนนี้ก็ยังชอบมากๆ นะ
แรงจูงใจของฉันก็คือรายการ “ASAYAN” ที่ได้ดูเมื่อตอนสมัยที่เรียนอยู่ชั้น ป.1 เป็นรายการวาไรตี้ออดิชั่นซึ่งเป็นจุดกำเนิดของวง “Morning Musume” (เรียกย่อๆ ว่า “มอร์มุซุ”) ที่มีชื่อเสียง
ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ โกะโต มากิจัง เข้ามาเป็นสมาชิกรุ่นที่ 3 ของวง Morning Musume และเป็นช่วงที่เพลง “LOVE Machine” ออกมาพอดี
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันชอบไอดอลก็คือ “โกมากิ” (โกะโต มากิ) ค่ะ ถัดจากนั้นก็เป็น “คาเมอิ เอริจัง” (สมาชิกรุ่นที่ 6 ของวง Morning Musume), “ฮางิวาระ ไมจัง” จากวง C-ute และตามมาด้วย “คุมาอิ ยูรินะ” จากวง Berryz Kobo
เหล่าเด็กหญิงในชั้นเรียนของโรงเรียนประถมก็ติดวงมอร์มุซุนะคะ และฉันเองก็ได้แลกเทรดดิ้งการ์ดกับเพื่อนๆ ในห้องเรียนด้วย
บางที ในตอนนั้น ฉันก็ชอบด้วยแรงดึงดูดที่มีเหมือนๆ กันกับทุกคน แต่พอยิ่งเรียนในชั้นปีสูงขึ้น ทุกคนก็เริ่มหันไปชอบเรื่องอื่นๆ แทน ทั้งดอดจ์บอลบ้าง ไอดอลหนุ่มบ้าง และเพราะตัวฉันเองยังคงชอบสิ่งเดิมมาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง ก็เลยถูกว่า “เอ๊ะ? ยังมีหลงเหลืออยู่เลยแฮะ”
ในตอนที่เรียนในชั้นปีสูงๆ ของโรงเรียนประถม ฉันชอบไอดอล ยิ่งไปกว่านั้น การที่ตัวเองชอบไอดอลสาวกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดได้ ความรู้สึกที่สามารถอ่านบรรยากาศได้นั้น คิดว่าน่าจะมีมาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้วล่ะ
แต่ว่าสิ่งที่ชอบมันก็เป็นความชอบค่ะ คนอื่นๆ จะคิดอย่างไร มันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ความรู้สึกที่ตัวเองชอบไอดอล ดนตรีและการเต้นของไอดอล... จนถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย ความรู้สึก “ชอบ” นี้ ก็ได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้ได้ดำเนินกิจกรรมต่อในฐานะไอดอลจนถึงตอนนี้ค่ะ
โลกที่ไม่ได้มีอยู่เพียงแค่โรงเรียนเท่านั้น
สิ่งที่ช่วยเร่งความรู้สึก “ชอบ” ที่มีอยู่ในตัวฉันก็คือ อินเตอร์เนตค่ะ
ตอนที่บ้านของฉันเริ่มมีคอมพิวเตอร์ก็คือตอนสมัยที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.2 ฉันคิดว่าของแบบนี้ทำให้โลกเปลี่ยนไปเลยล่ะ ข้อมูลเกี่ยวกับวงมอร์มุซุที่หาไม่ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ในอินเตอร์เนตกลับมีอยู่กลาดเกลื่อนมากมายเลยทีเดียว
ฉันดูทั้งวิดีโอ ภาพถ่าย อ่านบล็อกที่มีแฟนๆ เขียน และอ่านตัวอักษรบนเว็บไซต์ ฉันรู้สึกว่าตัวเองชอบและถนัดการเขียน เพราะการได้อ่านข้อความต่างๆ ที่อยู่ในอินเตอร์เนต จึงทำให้ได้เรียนรู้ผ่านอินเตอร์เนตถึงการเอนเตอร์เทนผู้คนด้วยการเขียนค่ะ
ฉันเริ่มเข้าไปดูเว็บ 2ch (ทูแชนแนล : อารมณ์คล้ายกับเว็บพันทิพของบ้านเราค่ะ ^^) ในตอนที่อยู่ชั้น ป.5 ฉันคิดว่าตัวเองได้เข้าไปถึงโลกที่อยู่ลึกลงไปจากการตามเข้าไปในลิ้งก์ที่อยู่บนตัวอักษรของเว็บไซต์
ถึงแม้จะมาพูดเอาป่านนี้แล้ว ตัวฉันก็ยังคงเข้าไปดูเว็บ 2ch ตอนนี้ก็ด้วย ฉันคิดว่ามันมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการเสริมสร้างบุคลิกภาพของฉันอย่างไม่มีข้อผิดพลาดแน่ๆ
สมัยนั้น เว็บบอร์ดที่ฉันเข้า-ออกอยู่บ่อยๆ ก็คือ “Morning Musume (Wolf)” ในตอนแรกฉันเองก็เข้ามาอ่านเพียงอย่างเดียว แต่ในเวลาต่อมาฉันก็ได้สร้าง Username เป็นของตัวเอง และเริ่มพิมพ์ข้อความลงไป มาคิดถึงตอนนี้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ เด็กหญิงที่อยู่ชั้น ป.5 แบบนั้น คงจะไม่มีอีกแล้วนอกจากฉัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วล่ะนะ
ในช่วงสมัยที่เรียนอยู่ชั้น ม.1-ม.3 ตัวฉันเองก็ได้เขียนบล็อกด้วยค่ะ ซึ่งเป็นแฟนบล็อกของวงมอร์มุซุ ในบล็อกนั้นฉันได้แสดงถึง “ความชอบ” และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่เข้ามาอ่านบล็อกด้วย และนั่นก็ทำให้ความรู้สึกที่เรียกว่า “ความชอบ” ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เพราะการมีอยู่ของอินเตอร์เนตในตอนนั้น ทำให้ “ความชอบ” ที่อยู่ในตัวฉันนั้นเพิ่มสูงขึ้น การที่มันเชื่อมโยงมาถึงในตอนนี้ก็คงกล่าวได้ไม่ผิดนัก
การเข้าสู่โลกอินเตอร์เนต ทำให้ในช่วงเวลาหนึ่งฉันได้เข้าใจว่า
“โลกนั้นมันไม่ได้มีอยู่เพียงแค่โรงเรียน ไม่ได้มีอยู่แค่โออิตะ”
ในเมื่อที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้มันช่างทุกข์ทรมานและมีชีวิตอยู่อย่างขมขื่น หากได้ย้ายไปยังโลกที่แตกต่างออกไปจากเดิมได้ก็น่าจะดีนะ แม้ตลอดเวลาที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น จะไม่สามารถอยู่ได้ แต่ที่นี่เป็นที่ที่แตกต่างกันออกไปซึ่งสามารถคิดได้ว่าตัวเองมีตัวตนอยู่ แล้วความรู้สึกก็จะสบายยิ่งขึ้น
การที่ตัวเองรู้สึกได้ในช่วงเวลานั้น แม้กระทั่งตอนนี้ก็รู้สึกได้ว่ามันได้กลายเป็นพื้นฐานในวิธีคิดของฉันไปแล้วค่ะ
คอมพิวเตอร์ในห้องนั่งเล่น
ฉันเป็นมนุษย์ที่เย็นชาตามสายตาที่สังคมมองอยู่เสมอ ฉันคิดว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะอินเตอร์เนตแน่ๆ แต่ฉันเชื่อว่ายังมีความอบอุ่นของผู้คนจากที่ไหนสักแห่งอยู่จริงๆ นะ!
เรื่องราวรายละเอียดไว้จะเขียนต่อไปในบทหลังๆ นะ โดยแต่เดิมที เมื่อฉันได้ลองหาเหตุผลที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น คิดว่าน่าจะเป็นเพราะมีความสมดุลระหว่างการเล่นอินเตอร์เนตและครอบครัวในช่วงที่ยังอยู่ในโออิตะค่ะ
ฉันไม่เคยโดนพ่อแม่โกรธ ซึ่งไม่ได้เป็นการเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน แต่เป็นการให้อิสระอย่างเต็มที่ ฉันได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิสระโดยไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งนั้นว่าเป็นเรื่อง “เย็นชา” เลย
พวกเขาไม่ห้ามในสิ่งที่ฉันทำหรอกค่ะ ต่อให้ฉันติดอินเตอร์เนตก็ตาม แต่ก็ไม่เคยถูกว่าให้หยุดเล่นเลย ไม่เคยถูกบังคับยัดเยียดความคิดว่า “อินเตอร์เนตเป็นสิ่งไม่ดี”
ตอนนี้ เมื่อได้หันกลับไปมองอดีตก็พบว่า การที่คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วใช้งานอยู่ท่ามกลางสายตาพ่อแม่นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดี อินเตอร์เนตและครอบครัว สำหรับฉันแล้ว สถานที่ที่น่าอยู่นั้นมีตัวตนที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านค่ะ
สิ่งที่ทำให้ฉันพยายามทำงานนี้อยู่ในโตเกียวจะเป็นเพราะครอบครัวหรือไม่นั้น ช่วงนี้ฉันก็คิดอยู่บ่อยครั้งเลยล่ะ ต่อให้รู้สึกทุกข์ทรมานและขมขื่นแค่ไหน ก็ยังมีสถานที่ที่ฉันจะกลับไป เพราะฉันเชื่อว่ามีสถานที่ที่ยังต้อนรับฉันอย่างอบอุ่นอยู่นั่นเองค่ะ
ไม่ลืมตัวเองเมื่อตอนที่ยังเป็นผู้ชม
หนึ่งในจุดเด่นในฐานะไอดอลสำหรับฉัน ฉันคิดว่าเพราะส่วนตัวแล้วแต่เดิมทีฉันเป็นไอดอลโอตาคุค่ะ ถ้าหากเป็นความรักในไอดอลแล้วล่ะก็ ฉันมีความมั่นใจไม่แพ้ใครเลยล่ะ
ตอนที่ความรักในสิ่งนั้นเริ่มสมบูรณ์ขึ้นมา คิดว่าน่าจะเป็นตอนที่ฉันได้ไปดูคอนเสิร์ตของไอดอลเป็นครั้งแรกค่ะ
เมื่อตอนที่ฉันเรียนอยู่ชั้น ป.5 ทุกคนในวงมอร์นิ่ง มุซุเมะ ได้มาจัดแสดงที่แกรนด์เธียเตอร์ (ปัจจุบันคือ iichiko Culture Center) ในจังหวัดโออิตะค่ะ! ฉันไปอ้อนวอนขอคุณแม่และได้มาดูกัน 2 คนแม่ลูก
ที่นั่งตอนนั้นจำได้ว่าอยู่ในแถวที่ 28 ของชั้น 1 ทางฝั่งขวามือเมื่อหันหน้าเข้าหาเวที ถึงจะอยู่ค่อนไปทางข้างหลังสักหน่อย แต่เนื่องจากที่แกรนด์เธียเตอร์ไม่ได้เป็นสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ถึงขนาดนั้น จึงไม่ได้เป็นระยะทางที่สามารถมองเห็นได้ราวกับเป็นเม็ดถั่ว โกมากิตัวเป็นๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนเวที ฉันรู้สึกประทับใจมากเลยค่ะ
เพียงแค่ครั้งเดียวฉันก็ตกหลุมรักคอนเสิร์ตซะแล้วล่ะ ไอดอลโอตาคุนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ “ไซตาคุโอตะ” (Zaitaku Ota) ที่คอยสนับสนุนอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และ “เก็มบะโอตะ” (Genba Ota) ที่ออกมาเผยตัวอยู่ตามงานอีเว้นท์และงานคอนเสิร์ต ฉันเป็นประเภทหลังอย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะค่ะ เพราะว่ามีงานคอนเสิร์ตจำนวนมากที่จัดขึ้นในฟุกุโอกะ ฉันจึงหาทางครอบครองตั๋วซึ่งในที่สุดก็หามาได้ด้วยใจปรารถนา และนั่งรถไฟด่วนพิเศษไปดูด้วยกันกับคุณแม่หลายต่อหลายครั้ง
มาถึงตอนนี้ที่ได้เป็นไอดอลแล้ว เมื่อได้มองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มากับคุณแม่ในงานคอนเสิร์ตที่มีจุดจำหน่ายสินค้าตั้งอยู่เรียงรายเป็นแถวๆ ก็จะรู้สึกคิดถึงขึ้นมา การได้รับจดหมายจากแฟนคลับที่เป็นเด็กผู้หญิงก็เช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่ตัวเองก็เคยทำเมื่อสมัยอดีต เลยคิดว่าในตอนนี้เด็กคนนี้จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเดียวกันกับตัวฉันเมื่อก่อนหรือเปล่านะ ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็จะรู้สึกดีใจมากๆ เลยค่ะ
ดังนั้น ฉันจึงรู้สึกไม่ชอบหยุดทำการแสดงที่ได้มีการประกาศออกไปแล้วว่าจะมาทำการแสดง ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตก็จะต้องมาให้ได้ ถ้าหากตัวเองเป็นแฟนคลับที่มาในสถานที่จัดงาน แล้วเด็กคนที่ตัวเองคอยเชียร์สนับสนุนมากที่สุดเกิดไม่สบายจนต้องหยุดขึ้นมา ต่อให้รู้สึกเป็นห่วง แต่ก็คิดว่ามันน่าเสียดายจริงๆ ทั้งๆ ที่อุตส่าห์มาแล้ว
แต่ละคนแต่ละคนที่มายังสถานที่จัดงานต่างก็มีทั้งผู้ที่จ่ายเงินเดินทางมา ผู้ที่ลาหยุดงานมา ผู้ที่หยุดเรียนมา และผู้ที่ลากิจกรรมชมรมมา เพราะว่าตัวฉันที่เมื่อก่อนเป็นไอดอลโอตาคุก็เคยทำแบบนั้น จึงเข้าใจในเรื่องนี้ดี เพราะการที่เราเข้าใจนี่แหละ ฉันจึงสามารถคิดที่จะพยายามใน “สถานที่จัดงาน” ของตัวเองได้
เชื่อมโยงความฝันและความเป็นจริง
สถานที่ที่เคยหลงใหลใฝ่ฝันในตอนนั้น ตอนนี้ ตัวเองก็ได้มาทำงานอย่างสมใจแล้ว เมื่อได้ลองมาคิดๆ ดูอย่างเงียบๆ แล้ว ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ ค่ะ
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ความหลงใหลใฝ่ฝันก็ยังไม่สามารถเป็นไอดอลได้ มันต้องมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า “อยากเป็น” ขึ้นมาก่อน สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น ฉันคิดว่าน่าจะมีแรงจูงใจมาจาก AKB48 ค่ะ
ฉันได้ดูคอนเสิร์ตของวง AKB48 ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม สมัยที่ฉันเป็นนักเรียนชั้น ม.2 เป็นการแสดงในจังหวัดฟุกุโอกะที่ใช้ชื่อว่า “Haru no Chotto Dake Zenkoku Tour, ~Mada Mada Daze AKB48!~” ซึ่งเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่จัดขึ้นทั่วประเทศ
แน่นอนว่าฉันได้รับข้อมูลมาอย่างมากมายผ่านอินเตอร์เนต ส่วนเซตลิสท์ของคอนเสิร์ตนั้นเป็นเพลงที่อยู่ใน Team A 4th Stage (ชุดการแสดงลำดับที่ 4 ของทีม A) "Tadaima Renaichuu" ซึ่งใน AKB48 Theater ที่อยู่ในย่านอาคิฮาบาระของกรุงโตเกียวได้ทำการแสดงสเตจนี้ทุกวัน
รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเลยล่ะ และนั่นก็เป็นสาเหตุของความคิดที่ว่า “ฉันเองก็อยากลองไปยืนอยู่บนเวทีนั้นจัง”
ความคิดที่ว่า “จะเป็นไอดอล” สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่การที่ตัวเองอยากจะลองไป “ยืนอยู่บนเวที” แม้แต่ตัวฉันเองก็รู้สึกว่ามันสามารถพยายามฝึกฝนกันได้ เป็นความรู้สึกที่ตัวเองได้ค้นพบเส้นทางจากความเป็นจริงที่ว่า “จะไปยืนอยู่บนเวที” ไปสู่ความฝันที่ว่า “จะไปเป็นไอดอล”
ความฝันกับความเป็นจริง ฉันรู้สึกว่ามันได้เริ่มการเชื่อมโยงขึ้นทีละน้อยทีละน้อยแล้วล่ะค่ะ
ตรงกับช่วงเวลานั้นพอดีเลย เพราะในช่วงนั้นก็มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนได้ตระหนักถึงวิกฤตในสถานการณ์ของตัวเองค่ะ
ถ้าหากไม่ชอบที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้ ก็พกความกล้าไปยังที่ที่แตกต่างออกไปซะ
ชีวิตของการเป็นโอตะนั้นช่างราบรื่นและสนุกสนาน แต่ในทางตรงข้าม ชีวิตในโรงเรียนกลับไปได้ไม่สวยเลย ถึงแม้ว่ากิจกรรมชมรมเครื่องเป่าหลังเลิกเรียนจะสนุกดี แต่ในห้องเรียนกลับแย่เอามากๆ
ตอนสมัยที่ยังอยู่ชั้น ม.2 มีการกลั่นแกล้งกันแบบเบาๆ จากกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงชมรมกีฬา ทั้งถูกหัวเราะใส่แบบไม่มีความหมาย ทั้งถูกนินทาให้ตัวฉันมาได้ยิน รวมถึงถูกมองข้ามแบบจงใจ
และนับตั้งแต่ที่เริ่มเรียนชั้น ม.3 ความรุนแรงก็ได้ยกระดับมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอยู่วันหนึ่งที่มีจดหมายถูกส่งมายังตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านโดยระบุข้อความไว้ว่า “อย่ามาโรงเรียนอีก”
ถึงขั้นเขียนจดหมายถึงฉัน แสดงว่าพวกเขาคงเกลียดฉันมากเลยสินะ
นั่นทำให้ฉันเริ่มคิดว่ารู้สึกลำบากแล้ว และก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว
เมื่อไม่ชอบการไปโรงเรียน ก็เลยรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนขึ้นมา
ฉันยังคงใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ตอนเช้าก็ยังคงตื่นขึ้นมาอย่างไม่มีบกพร่อง พอตอนเที่ยงก็จะช่วยทำงานบ้าน และในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนก็จะไปโรงเรียนกวดวิชา นับเป็นแพทเทิร์นที่แปลกประหลาดดีโดยไม่มีพลิกผันแบบทั้งวันทั้งคืน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปโรงเรียนแท้ๆ
พ่อกับแม่ของฉันเองก็คงจะรู้สึกกังวลโดยที่ฉันไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่เคยบังคับให้ฉันไปโรงเรียนเลย ความคิดที่ว่า “ถ้าไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ไม่ใช่หรอ?” พวกท่านทั้งคู่ได้ให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของฉันอยู่เสมอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในช่วงเดือนกันยายนของชั้น ม.3 ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่จะต้องเลือกเส้นทางในอนาคตแล้ว อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังคิดที่จะออกไปจากโออิตะ ไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้จักฉัน อยากจะรีเซทใหม่ทั้งหมดเลย
เรื่องที่เล่าไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ก้าวเข้าสู่โลกของอินเตอร์เนต ถ้าหากไม่ชอบที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้แล้วล่ะก็ ได้ย้ายไปอยู่ในที่ที่แตกต่างกันออกไปก็น่าจะดีนะ
ถ้าหากว่าตอนนี้มีสิ่งที่สามารถให้คำแนะนำต่อคนที่ถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน และคนที่ความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็คิดว่าจะแนะนำเรื่องที่เล่านี้ไปค่ะ
กลายเป็นไอดอลด้วย “พลังแห่งการพลิกผัน”
ตอนที่อยู่ชั้น ม.ต้น ฉันถนัดวิชาภาษาอังกฤษค่ะ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่และอาจารย์ที่โรงเรียนกวดวิชาก็เลยแนะนำให้ฉันเรียนต่อในหลักสูตรภาษาต่างประเทศของโรงเรียนมัธยมปลายประจำท้องถิ่น และจากนั้นก็อยากให้ไปเรียนต่อในต่างประเทศ แต่ตอนนั้นฉันก็ได้แอบไปสมัครออดิชั่นของวง AKB48 ซะแล้วล่ะค่ะ
ฉันผ่านการคัดเลือกจากเอกสารในรอบแรกแล้ว แต่เนื่องจากการคัดเลือกในรอบสองจะจัดขึ้นในโตเกียว ฉันจึงได้พูดคุยถึงความรู้สึกของตัวเองให้พ่อแม่ฟังเป็นครั้งแรก
“หนูจะไปโตเกียวเพื่อเป็นไอดอลค่ะ”
เมื่อสักครู่นี้ ฉันได้กล่าวถึงเรื่องที่ทำให้ฉันเข้าใจได้ดีจากการเข้าสู่โลกอินเตอร์เนตว่า “ถ้าหากรู้สึกทุกข์ทรมาน การได้เปลี่ยนสถานที่ไปเลยก็คงจะดี ถ้าได้ย้ายไปยังสถานที่ที่แตกต่างได้ก็คงจะดี” ด้วยวิธีคิดแบบนั้น จึงทำให้ความคิดที่ค้นพบจนทำให้ตัวฉันในตอนนั้นที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 ได้พยายามอย่างสุดกำลังก็คือ การออกมาจากโออิตะแล้วมาเป็นไอดอล
ฉันผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายค่ะ คุณแม่ของฉันเองก็ได้พูดออกมาว่าจะสนับสนุนฉัน แต่ก็ยังรู้สึกกังวลคุณพ่อที่อนุญาตให้ฉันไปออดิชั่นด้วยเหตุผลที่ว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ผ่านการคัดเลือกหรอก” อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันได้แจ้งผลการคัดเลือกออกไปด้วยความรู้สึกหวาดๆ คุณพ่อก็พูดออกมาว่า “จงทำในสิ่งที่ชอบเถอะ ถ้าคุณแม่ไปโตเกียวด้วยก็เป็นอันตกลง”
ตอนนี้ สิ่งที่ฉันได้คิดย้อนกลับไปมองก็คือ เมื่อลูกสาวเพียงคนเดียวที่เคยเป็นเด็กไม่ยอมไปโรงเรียนจู่ๆ ก็ได้พูดออกมาว่า “อยากไปโตเกียว” พ่อแม่จะต้องมีความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลบ้างไม่ใช่หรอ? ยิ่งไปกว่านั้นยังได้พูดอีกว่า “อยากเป็นไอดอล” ด้วย ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะบังคับเด็กด้วยความคิดที่ว่าให้หันกลับมายังเส้นทางที่ตั้งใจอีกครั้งหนึ่งเถอะ แต่เพราะพ่อแม่ฉันโอเคนี่แหละ ตอนนี้ฉันก็เลยได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้
ฉันรู้สึกขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่จริงๆ ค่ะ
และก็ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการคัดเลือกทุกท่านที่เลือกฉันเข้ามานะคะ
อีกทั้งตัวฉันเองก็อยากชมเชยในความกล้าของตัวเองด้วยค่ะ
จากเด็กฮิคิโคโมริสู่ไอดอล สิ่งนี้ได้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสซึ่งเป็นประสบการณ์แรกสุดของ “พลังแห่งการพลิกผัน” ค่ะ
ก่อนอื่น ขอให้ฉันได้แนะนำตัวเองก่อนนะคะ
ฉันชื่อ ซาชิฮาระ ริโนะ มาจากเมืองโออิตะ จังหวัดโออิตะ อายุ 21 ปี เกิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ.1992 ชื่อเล่นชื่อ “ซัซชี่” หรือ “ซาชิโกะ” เป็นสมาชิกทีม H วง HKT48 วงน้องสาวของ AKB48 ที่ทำกิจกรรมเธียเตอร์โดยมีที่ตั้งอยู่ในเมืองฮากาตะ และตอนนี้ฉันก็ควบตำแหน่งผู้จัดการ HKT48 Theater ด้วยค่ะ
แต่เดิมแล้ว ฉันเคยเป็นสมาชิกวง AKB48 มาก่อน โดยเมื่อตอนสมัยที่ยังเป็นเด็กนักเรียนชั้น ม.3 ฉันได้ผ่าน “การออดิชั่นสมาชิกเคงคิวเซย์ของ AKB48 ครั้งที่ 2 (สมาชิกรุ่นที่ 5)” (จัดขึ้นในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ค.ศ.2007) จากนั้นก็ได้เดินทางเข้าโตเกียวแล้วเริ่มทำกิจกรรมในปีต่อมา
แรกเริ่มเดิมที เหตุผลสำคัญที่สุดกับการที่ฉันคิดอยากจะมาเป็นไอดอลก็เพราะวิกฤตทางสถานการณ์ของตนเองค่ะ
ในบทนี้ ฉันอยากจะเล่าถึงจุดเริ่มต้นวิกฤตของฉัน ซึ่งเป็นเรื่องราวสมัยที่อยู่ในโออิตะและได้กลายมาเป็นจุดกำเนิดของ “พลังแห่งการพลิกผัน” ค่ะ
คนบ้ายอกับคนเจ้าความคิด
สถานที่ที่ฉันได้ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นบ้านธรรมดาๆ ทั่วไป มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 4 คน ได้แก่ พ่อ, แม่, พี่ชาย และตัวฉันเอง
จัดได้ว่าเป็นครอบครัวธรรมดาจริงๆ นะคะ ทั้งคุณพ่อที่เป็นคนธรรมดาและคุณแม่ที่เป็นคนธรรมดา ดังนั้นพี่ชายของฉันก็เลยเป็นยิ่งกว่าคนธรรมดาไปด้วย ส่วนตัวฉันเองนั้นไม่เหมือนใครเลย ทั้งนิสัยร่าเริง อีกทั้งยังมีเพื่อนที่เป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงอยู่มากมาย เลยถือได้ว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างแท้จริง
คุณพ่อคุณแม่ของฉันท่านก็เป็นคนประเภทอย่างที่บอกไปค่ะ ทั้งนิสัยร่าเริงและใจกว้าง มีแต่ฉันเท่านั้นที่มีนิสัยซึ่งถูกบิดเบือนออกไปเช่นนี้
ตอนสมัยเด็กๆ ฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนเรียบร้อยและดูมืดมน ไม่ชอบการเป็นที่สะดุดตา รวมถึงไม่ชอบมองคนที่เป็นที่สะดุดตาด้วย ฉันเคยคิดด้วยซ้ำว่าพวกคนบ้ายอในชั้นเรียนนี่มัน “เป็นอย่างไรกันนะ?”
คนบ้ายอที่ว่าก็คือ คนที่ไม่เก่งค่ะ แต่ถึงแบบนั้น ตอนนี้ตัวเองก็ได้กลายเป็นคนบ้ายอไปแล้ว
...รู้สึกขึ้นมาได้เลยว่ามันช่างราวกับเป็นพันธุกรรมของพ่อแม่อย่างที่คิดไว้เลย
คุณพ่อของฉันท่านเป็นคนที่คิดบวกมากๆ เป็นคนที่บ้ายอและไม่คิดลึก ส่วนคุณแม่ของฉันนั้นบางครั้งก็รู้สึกได้ว่าท่านก็มีมุมของความเป็นคนเจ้าความคิดอยู่เหมือนกันค่ะ
จากหนังสือโฟโต้บุ๊ค “ซาชิโกะ” ของทางสำนักพิมพ์โคดันฉะที่ออกมาเมื่อปี 2012 (ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนมกราคม 2012) ได้มีการตีพิมพ์จดหมายที่คุณแม่เขียนถึงฉันในตอนท้ายสุดของหนังสือด้วย ในตอนนั้น ฉันใช้ชีวิตอยู่กับคุณแม่กันสองคนในโตเกียว แต่คุณแม่ท่านก็มีเรื่องที่โกหกอยู่ค่ะ
ในตอนท้ายของจดหมายระบุว่า “ฉันคิดว่าตอนนี้ใกล้เวลาที่จะได้กลับโออิตะแล้ว เพราะว่าได้เห็นการเติบโตของเธออย่างเพียงพอแล้วล่ะนะ” หลังจากที่หนังสือออกวางจำหน่ายแล้วประมาณหนึ่งปีคุณแม่ของฉันก็ยังคงอยู่ที่บ้านค่ะ! เพราะว่าใช้ชีวิตในโตเกียวได้อย่างสนุกสนานแล้ว จึงไม่มีความรู้สึกที่อยากจะกลับเลย ท่านจึงโกหกเพื่อให้ผู้คนประทับใจค่ะ
นิสัยนั้นถูกกำหนดด้วยพ่อแม่งั้นหรอ? ทั้งการเป็นคนที่ไม่คิดลึกจากความบ้ายอของคุณพ่อ และความเป็นคนเจ้าความคิดของคุณแม่ ตัวฉันนั้นดูเหมือนว่าจะได้รับการสืบทอดจุดเด่นมาจากทั้งคุณพ่อและคุณแม่เลยล่ะค่ะ
ทำความรู้สึกที่ “ชอบ” ให้เป็นพลังขับเคลื่อน
สิ่งที่ฉันชอบเมื่อตอนสมัยยังเด็กก็คือ ไอดอล ค่ะ เรียกว่าสมัยยังเด็กหรอ? ตอนนี้ก็ยังชอบมากๆ นะ
แรงจูงใจของฉันก็คือรายการ “ASAYAN” ที่ได้ดูเมื่อตอนสมัยที่เรียนอยู่ชั้น ป.1 เป็นรายการวาไรตี้ออดิชั่นซึ่งเป็นจุดกำเนิดของวง “Morning Musume” (เรียกย่อๆ ว่า “มอร์มุซุ”) ที่มีชื่อเสียง
ช่วงนั้นเป็นช่วงเวลาที่ โกะโต มากิจัง เข้ามาเป็นสมาชิกรุ่นที่ 3 ของวง Morning Musume และเป็นช่วงที่เพลง “LOVE Machine” ออกมาพอดี
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ฉันชอบไอดอลก็คือ “โกมากิ” (โกะโต มากิ) ค่ะ ถัดจากนั้นก็เป็น “คาเมอิ เอริจัง” (สมาชิกรุ่นที่ 6 ของวง Morning Musume), “ฮางิวาระ ไมจัง” จากวง C-ute และตามมาด้วย “คุมาอิ ยูรินะ” จากวง Berryz Kobo
เหล่าเด็กหญิงในชั้นเรียนของโรงเรียนประถมก็ติดวงมอร์มุซุนะคะ และฉันเองก็ได้แลกเทรดดิ้งการ์ดกับเพื่อนๆ ในห้องเรียนด้วย
บางที ในตอนนั้น ฉันก็ชอบด้วยแรงดึงดูดที่มีเหมือนๆ กันกับทุกคน แต่พอยิ่งเรียนในชั้นปีสูงขึ้น ทุกคนก็เริ่มหันไปชอบเรื่องอื่นๆ แทน ทั้งดอดจ์บอลบ้าง ไอดอลหนุ่มบ้าง และเพราะตัวฉันเองยังคงชอบสิ่งเดิมมาตลอดไม่เปลี่ยนแปลง ก็เลยถูกว่า “เอ๊ะ? ยังมีหลงเหลืออยู่เลยแฮะ”
ในตอนที่เรียนในชั้นปีสูงๆ ของโรงเรียนประถม ฉันชอบไอดอล ยิ่งไปกว่านั้น การที่ตัวเองชอบไอดอลสาวกลับกลายเป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถพูดได้ ความรู้สึกที่สามารถอ่านบรรยากาศได้นั้น คิดว่าน่าจะมีมาตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้วล่ะ
แต่ว่าสิ่งที่ชอบมันก็เป็นความชอบค่ะ คนอื่นๆ จะคิดอย่างไร มันก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ความรู้สึกที่ตัวเองชอบไอดอล ดนตรีและการเต้นของไอดอล... จนถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย ความรู้สึก “ชอบ” นี้ ก็ได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้ได้ดำเนินกิจกรรมต่อในฐานะไอดอลจนถึงตอนนี้ค่ะ
โลกที่ไม่ได้มีอยู่เพียงแค่โรงเรียนเท่านั้น
สิ่งที่ช่วยเร่งความรู้สึก “ชอบ” ที่มีอยู่ในตัวฉันก็คือ อินเตอร์เนตค่ะ
ตอนที่บ้านของฉันเริ่มมีคอมพิวเตอร์ก็คือตอนสมัยที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.2 ฉันคิดว่าของแบบนี้ทำให้โลกเปลี่ยนไปเลยล่ะ ข้อมูลเกี่ยวกับวงมอร์มุซุที่หาไม่ได้ในชีวิตประจำวัน แต่ในอินเตอร์เนตกลับมีอยู่กลาดเกลื่อนมากมายเลยทีเดียว
ฉันดูทั้งวิดีโอ ภาพถ่าย อ่านบล็อกที่มีแฟนๆ เขียน และอ่านตัวอักษรบนเว็บไซต์ ฉันรู้สึกว่าตัวเองชอบและถนัดการเขียน เพราะการได้อ่านข้อความต่างๆ ที่อยู่ในอินเตอร์เนต จึงทำให้ได้เรียนรู้ผ่านอินเตอร์เนตถึงการเอนเตอร์เทนผู้คนด้วยการเขียนค่ะ
ฉันเริ่มเข้าไปดูเว็บ 2ch (ทูแชนแนล : อารมณ์คล้ายกับเว็บพันทิพของบ้านเราค่ะ ^^) ในตอนที่อยู่ชั้น ป.5 ฉันคิดว่าตัวเองได้เข้าไปถึงโลกที่อยู่ลึกลงไปจากการตามเข้าไปในลิ้งก์ที่อยู่บนตัวอักษรของเว็บไซต์
ถึงแม้จะมาพูดเอาป่านนี้แล้ว ตัวฉันก็ยังคงเข้าไปดูเว็บ 2ch ตอนนี้ก็ด้วย ฉันคิดว่ามันมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อการเสริมสร้างบุคลิกภาพของฉันอย่างไม่มีข้อผิดพลาดแน่ๆ
สมัยนั้น เว็บบอร์ดที่ฉันเข้า-ออกอยู่บ่อยๆ ก็คือ “Morning Musume (Wolf)” ในตอนแรกฉันเองก็เข้ามาอ่านเพียงอย่างเดียว แต่ในเวลาต่อมาฉันก็ได้สร้าง Username เป็นของตัวเอง และเริ่มพิมพ์ข้อความลงไป มาคิดถึงตอนนี้แล้ว รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ เด็กหญิงที่อยู่ชั้น ป.5 แบบนั้น คงจะไม่มีอีกแล้วนอกจากฉัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วล่ะนะ
ในช่วงสมัยที่เรียนอยู่ชั้น ม.1-ม.3 ตัวฉันเองก็ได้เขียนบล็อกด้วยค่ะ ซึ่งเป็นแฟนบล็อกของวงมอร์มุซุ ในบล็อกนั้นฉันได้แสดงถึง “ความชอบ” และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนที่เข้ามาอ่านบล็อกด้วย และนั่นก็ทำให้ความรู้สึกที่เรียกว่า “ความชอบ” ค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
เพราะการมีอยู่ของอินเตอร์เนตในตอนนั้น ทำให้ “ความชอบ” ที่อยู่ในตัวฉันนั้นเพิ่มสูงขึ้น การที่มันเชื่อมโยงมาถึงในตอนนี้ก็คงกล่าวได้ไม่ผิดนัก
การเข้าสู่โลกอินเตอร์เนต ทำให้ในช่วงเวลาหนึ่งฉันได้เข้าใจว่า
“โลกนั้นมันไม่ได้มีอยู่เพียงแค่โรงเรียน ไม่ได้มีอยู่แค่โออิตะ”
ในเมื่อที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้มันช่างทุกข์ทรมานและมีชีวิตอยู่อย่างขมขื่น หากได้ย้ายไปยังโลกที่แตกต่างออกไปจากเดิมได้ก็น่าจะดีนะ แม้ตลอดเวลาที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น จะไม่สามารถอยู่ได้ แต่ที่นี่เป็นที่ที่แตกต่างกันออกไปซึ่งสามารถคิดได้ว่าตัวเองมีตัวตนอยู่ แล้วความรู้สึกก็จะสบายยิ่งขึ้น
การที่ตัวเองรู้สึกได้ในช่วงเวลานั้น แม้กระทั่งตอนนี้ก็รู้สึกได้ว่ามันได้กลายเป็นพื้นฐานในวิธีคิดของฉันไปแล้วค่ะ
คอมพิวเตอร์ในห้องนั่งเล่น
ฉันเป็นมนุษย์ที่เย็นชาตามสายตาที่สังคมมองอยู่เสมอ ฉันคิดว่าที่เป็นแบบนี้ก็เพราะอินเตอร์เนตแน่ๆ แต่ฉันเชื่อว่ายังมีความอบอุ่นของผู้คนจากที่ไหนสักแห่งอยู่จริงๆ นะ!
เรื่องราวรายละเอียดไว้จะเขียนต่อไปในบทหลังๆ นะ โดยแต่เดิมที เมื่อฉันได้ลองหาเหตุผลที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น คิดว่าน่าจะเป็นเพราะมีความสมดุลระหว่างการเล่นอินเตอร์เนตและครอบครัวในช่วงที่ยังอยู่ในโออิตะค่ะ
ฉันไม่เคยโดนพ่อแม่โกรธ ซึ่งไม่ได้เป็นการเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน แต่เป็นการให้อิสระอย่างเต็มที่ ฉันได้รับการเลี้ยงดูอย่างอิสระโดยไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งนั้นว่าเป็นเรื่อง “เย็นชา” เลย
พวกเขาไม่ห้ามในสิ่งที่ฉันทำหรอกค่ะ ต่อให้ฉันติดอินเตอร์เนตก็ตาม แต่ก็ไม่เคยถูกว่าให้หยุดเล่นเลย ไม่เคยถูกบังคับยัดเยียดความคิดว่า “อินเตอร์เนตเป็นสิ่งไม่ดี”
ตอนนี้ เมื่อได้หันกลับไปมองอดีตก็พบว่า การที่คอมพิวเตอร์ตั้งอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วใช้งานอยู่ท่ามกลางสายตาพ่อแม่นั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดี อินเตอร์เนตและครอบครัว สำหรับฉันแล้ว สถานที่ที่น่าอยู่นั้นมีตัวตนที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านค่ะ
สิ่งที่ทำให้ฉันพยายามทำงานนี้อยู่ในโตเกียวจะเป็นเพราะครอบครัวหรือไม่นั้น ช่วงนี้ฉันก็คิดอยู่บ่อยครั้งเลยล่ะ ต่อให้รู้สึกทุกข์ทรมานและขมขื่นแค่ไหน ก็ยังมีสถานที่ที่ฉันจะกลับไป เพราะฉันเชื่อว่ามีสถานที่ที่ยังต้อนรับฉันอย่างอบอุ่นอยู่นั่นเองค่ะ
ไม่ลืมตัวเองเมื่อตอนที่ยังเป็นผู้ชม
หนึ่งในจุดเด่นในฐานะไอดอลสำหรับฉัน ฉันคิดว่าเพราะส่วนตัวแล้วแต่เดิมทีฉันเป็นไอดอลโอตาคุค่ะ ถ้าหากเป็นความรักในไอดอลแล้วล่ะก็ ฉันมีความมั่นใจไม่แพ้ใครเลยล่ะ
ตอนที่ความรักในสิ่งนั้นเริ่มสมบูรณ์ขึ้นมา คิดว่าน่าจะเป็นตอนที่ฉันได้ไปดูคอนเสิร์ตของไอดอลเป็นครั้งแรกค่ะ
เมื่อตอนที่ฉันเรียนอยู่ชั้น ป.5 ทุกคนในวงมอร์นิ่ง มุซุเมะ ได้มาจัดแสดงที่แกรนด์เธียเตอร์ (ปัจจุบันคือ iichiko Culture Center) ในจังหวัดโออิตะค่ะ! ฉันไปอ้อนวอนขอคุณแม่และได้มาดูกัน 2 คนแม่ลูก
ที่นั่งตอนนั้นจำได้ว่าอยู่ในแถวที่ 28 ของชั้น 1 ทางฝั่งขวามือเมื่อหันหน้าเข้าหาเวที ถึงจะอยู่ค่อนไปทางข้างหลังสักหน่อย แต่เนื่องจากที่แกรนด์เธียเตอร์ไม่ได้เป็นสถานที่จัดงานขนาดใหญ่ถึงขนาดนั้น จึงไม่ได้เป็นระยะทางที่สามารถมองเห็นได้ราวกับเป็นเม็ดถั่ว โกมากิตัวเป็นๆ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนเวที ฉันรู้สึกประทับใจมากเลยค่ะ
เพียงแค่ครั้งเดียวฉันก็ตกหลุมรักคอนเสิร์ตซะแล้วล่ะ ไอดอลโอตาคุนั้นจะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ “ไซตาคุโอตะ” (Zaitaku Ota) ที่คอยสนับสนุนอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และ “เก็มบะโอตะ” (Genba Ota) ที่ออกมาเผยตัวอยู่ตามงานอีเว้นท์และงานคอนเสิร์ต ฉันเป็นประเภทหลังอย่างสมบูรณ์แบบเลยล่ะค่ะ เพราะว่ามีงานคอนเสิร์ตจำนวนมากที่จัดขึ้นในฟุกุโอกะ ฉันจึงหาทางครอบครองตั๋วซึ่งในที่สุดก็หามาได้ด้วยใจปรารถนา และนั่งรถไฟด่วนพิเศษไปดูด้วยกันกับคุณแม่หลายต่อหลายครั้ง
มาถึงตอนนี้ที่ได้เป็นไอดอลแล้ว เมื่อได้มองเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มากับคุณแม่ในงานคอนเสิร์ตที่มีจุดจำหน่ายสินค้าตั้งอยู่เรียงรายเป็นแถวๆ ก็จะรู้สึกคิดถึงขึ้นมา การได้รับจดหมายจากแฟนคลับที่เป็นเด็กผู้หญิงก็เช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่ตัวเองก็เคยทำเมื่อสมัยอดีต เลยคิดว่าในตอนนี้เด็กคนนี้จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเดียวกันกับตัวฉันเมื่อก่อนหรือเปล่านะ ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็จะรู้สึกดีใจมากๆ เลยค่ะ
ดังนั้น ฉันจึงรู้สึกไม่ชอบหยุดทำการแสดงที่ได้มีการประกาศออกไปแล้วว่าจะมาทำการแสดง ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตก็จะต้องมาให้ได้ ถ้าหากตัวเองเป็นแฟนคลับที่มาในสถานที่จัดงาน แล้วเด็กคนที่ตัวเองคอยเชียร์สนับสนุนมากที่สุดเกิดไม่สบายจนต้องหยุดขึ้นมา ต่อให้รู้สึกเป็นห่วง แต่ก็คิดว่ามันน่าเสียดายจริงๆ ทั้งๆ ที่อุตส่าห์มาแล้ว
แต่ละคนแต่ละคนที่มายังสถานที่จัดงานต่างก็มีทั้งผู้ที่จ่ายเงินเดินทางมา ผู้ที่ลาหยุดงานมา ผู้ที่หยุดเรียนมา และผู้ที่ลากิจกรรมชมรมมา เพราะว่าตัวฉันที่เมื่อก่อนเป็นไอดอลโอตาคุก็เคยทำแบบนั้น จึงเข้าใจในเรื่องนี้ดี เพราะการที่เราเข้าใจนี่แหละ ฉันจึงสามารถคิดที่จะพยายามใน “สถานที่จัดงาน” ของตัวเองได้
เชื่อมโยงความฝันและความเป็นจริง
สถานที่ที่เคยหลงใหลใฝ่ฝันในตอนนั้น ตอนนี้ ตัวเองก็ได้มาทำงานอย่างสมใจแล้ว เมื่อได้ลองมาคิดๆ ดูอย่างเงียบๆ แล้ว ก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สุดยอดจริงๆ ค่ะ
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ความหลงใหลใฝ่ฝันก็ยังไม่สามารถเป็นไอดอลได้ มันต้องมีความรู้สึกอย่างแรงกล้าว่า “อยากเป็น” ขึ้นมาก่อน สิ่งที่ทำให้ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้น ฉันคิดว่าน่าจะมีแรงจูงใจมาจาก AKB48 ค่ะ
ฉันได้ดูคอนเสิร์ตของวง AKB48 ครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม สมัยที่ฉันเป็นนักเรียนชั้น ม.2 เป็นการแสดงในจังหวัดฟุกุโอกะที่ใช้ชื่อว่า “Haru no Chotto Dake Zenkoku Tour, ~Mada Mada Daze AKB48!~” ซึ่งเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่จัดขึ้นทั่วประเทศ
แน่นอนว่าฉันได้รับข้อมูลมาอย่างมากมายผ่านอินเตอร์เนต ส่วนเซตลิสท์ของคอนเสิร์ตนั้นเป็นเพลงที่อยู่ใน Team A 4th Stage (ชุดการแสดงลำดับที่ 4 ของทีม A) "Tadaima Renaichuu" ซึ่งใน AKB48 Theater ที่อยู่ในย่านอาคิฮาบาระของกรุงโตเกียวได้ทำการแสดงสเตจนี้ทุกวัน
รู้สึกอิจฉาขึ้นมาเลยล่ะ และนั่นก็เป็นสาเหตุของความคิดที่ว่า “ฉันเองก็อยากลองไปยืนอยู่บนเวทีนั้นจัง”
ความคิดที่ว่า “จะเป็นไอดอล” สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่การที่ตัวเองอยากจะลองไป “ยืนอยู่บนเวที” แม้แต่ตัวฉันเองก็รู้สึกว่ามันสามารถพยายามฝึกฝนกันได้ เป็นความรู้สึกที่ตัวเองได้ค้นพบเส้นทางจากความเป็นจริงที่ว่า “จะไปยืนอยู่บนเวที” ไปสู่ความฝันที่ว่า “จะไปเป็นไอดอล”
ความฝันกับความเป็นจริง ฉันรู้สึกว่ามันได้เริ่มการเชื่อมโยงขึ้นทีละน้อยทีละน้อยแล้วล่ะค่ะ
ตรงกับช่วงเวลานั้นพอดีเลย เพราะในช่วงนั้นก็มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนได้ตระหนักถึงวิกฤตในสถานการณ์ของตัวเองค่ะ
ถ้าหากไม่ชอบที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้ ก็พกความกล้าไปยังที่ที่แตกต่างออกไปซะ
ชีวิตของการเป็นโอตะนั้นช่างราบรื่นและสนุกสนาน แต่ในทางตรงข้าม ชีวิตในโรงเรียนกลับไปได้ไม่สวยเลย ถึงแม้ว่ากิจกรรมชมรมเครื่องเป่าหลังเลิกเรียนจะสนุกดี แต่ในห้องเรียนกลับแย่เอามากๆ
ตอนสมัยที่ยังอยู่ชั้น ม.2 มีการกลั่นแกล้งกันแบบเบาๆ จากกลุ่มเด็กนักเรียนหญิงชมรมกีฬา ทั้งถูกหัวเราะใส่แบบไม่มีความหมาย ทั้งถูกนินทาให้ตัวฉันมาได้ยิน รวมถึงถูกมองข้ามแบบจงใจ
และนับตั้งแต่ที่เริ่มเรียนชั้น ม.3 ความรุนแรงก็ได้ยกระดับมากขึ้นเรื่อยๆ จนมีอยู่วันหนึ่งที่มีจดหมายถูกส่งมายังตู้ไปรษณีย์หน้าบ้านโดยระบุข้อความไว้ว่า “อย่ามาโรงเรียนอีก”
ถึงขั้นเขียนจดหมายถึงฉัน แสดงว่าพวกเขาคงเกลียดฉันมากเลยสินะ
นั่นทำให้ฉันเริ่มคิดว่ารู้สึกลำบากแล้ว และก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว
เมื่อไม่ชอบการไปโรงเรียน ก็เลยรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียนขึ้นมา
ฉันยังคงใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ ตอนเช้าก็ยังคงตื่นขึ้นมาอย่างไม่มีบกพร่อง พอตอนเที่ยงก็จะช่วยทำงานบ้าน และในช่วงเวลาหลังเลิกเรียนก็จะไปโรงเรียนกวดวิชา นับเป็นแพทเทิร์นที่แปลกประหลาดดีโดยไม่มีพลิกผันแบบทั้งวันทั้งคืน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปโรงเรียนแท้ๆ
พ่อกับแม่ของฉันเองก็คงจะรู้สึกกังวลโดยที่ฉันไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่เคยบังคับให้ฉันไปโรงเรียนเลย ความคิดที่ว่า “ถ้าไม่ชอบก็ไม่จำเป็นต้องไปก็ได้ไม่ใช่หรอ?” พวกท่านทั้งคู่ได้ให้ความสำคัญต่อความรู้สึกของฉันอยู่เสมอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในช่วงเดือนกันยายนของชั้น ม.3 ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่จะต้องเลือกเส้นทางในอนาคตแล้ว อย่างไรก็ตาม ฉันก็ยังคิดที่จะออกไปจากโออิตะ ไปยังที่ที่ไม่มีใครรู้จักฉัน อยากจะรีเซทใหม่ทั้งหมดเลย
เรื่องที่เล่าไปเมื่อสักครู่นี้ เป็นความรู้สึกเดียวกันกับตอนที่ก้าวเข้าสู่โลกของอินเตอร์เนต ถ้าหากไม่ชอบที่ที่ตัวเองอยู่ตอนนี้แล้วล่ะก็ ได้ย้ายไปอยู่ในที่ที่แตกต่างกันออกไปก็น่าจะดีนะ
ถ้าหากว่าตอนนี้มีสิ่งที่สามารถให้คำแนะนำต่อคนที่ถูกกลั่นแกล้งในโรงเรียน และคนที่ความสัมพันธ์กับคนในที่ทำงานไปได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก็คิดว่าจะแนะนำเรื่องที่เล่านี้ไปค่ะ
กลายเป็นไอดอลด้วย “พลังแห่งการพลิกผัน”
ตอนที่อยู่ชั้น ม.ต้น ฉันถนัดวิชาภาษาอังกฤษค่ะ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่และอาจารย์ที่โรงเรียนกวดวิชาก็เลยแนะนำให้ฉันเรียนต่อในหลักสูตรภาษาต่างประเทศของโรงเรียนมัธยมปลายประจำท้องถิ่น และจากนั้นก็อยากให้ไปเรียนต่อในต่างประเทศ แต่ตอนนั้นฉันก็ได้แอบไปสมัครออดิชั่นของวง AKB48 ซะแล้วล่ะค่ะ
ฉันผ่านการคัดเลือกจากเอกสารในรอบแรกแล้ว แต่เนื่องจากการคัดเลือกในรอบสองจะจัดขึ้นในโตเกียว ฉันจึงได้พูดคุยถึงความรู้สึกของตัวเองให้พ่อแม่ฟังเป็นครั้งแรก
“หนูจะไปโตเกียวเพื่อเป็นไอดอลค่ะ”
เมื่อสักครู่นี้ ฉันได้กล่าวถึงเรื่องที่ทำให้ฉันเข้าใจได้ดีจากการเข้าสู่โลกอินเตอร์เนตว่า “ถ้าหากรู้สึกทุกข์ทรมาน การได้เปลี่ยนสถานที่ไปเลยก็คงจะดี ถ้าได้ย้ายไปยังสถานที่ที่แตกต่างได้ก็คงจะดี” ด้วยวิธีคิดแบบนั้น จึงทำให้ความคิดที่ค้นพบจนทำให้ตัวฉันในตอนนั้นที่กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 ได้พยายามอย่างสุดกำลังก็คือ การออกมาจากโออิตะแล้วมาเป็นไอดอล
ฉันผ่านการคัดเลือกในรอบสุดท้ายค่ะ คุณแม่ของฉันเองก็ได้พูดออกมาว่าจะสนับสนุนฉัน แต่ก็ยังรู้สึกกังวลคุณพ่อที่อนุญาตให้ฉันไปออดิชั่นด้วยเหตุผลที่ว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่ผ่านการคัดเลือกหรอก” อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันได้แจ้งผลการคัดเลือกออกไปด้วยความรู้สึกหวาดๆ คุณพ่อก็พูดออกมาว่า “จงทำในสิ่งที่ชอบเถอะ ถ้าคุณแม่ไปโตเกียวด้วยก็เป็นอันตกลง”
ตอนนี้ สิ่งที่ฉันได้คิดย้อนกลับไปมองก็คือ เมื่อลูกสาวเพียงคนเดียวที่เคยเป็นเด็กไม่ยอมไปโรงเรียนจู่ๆ ก็ได้พูดออกมาว่า “อยากไปโตเกียว” พ่อแม่จะต้องมีความรู้สึกเป็นห่วงและกังวลบ้างไม่ใช่หรอ? ยิ่งไปกว่านั้นยังได้พูดอีกว่า “อยากเป็นไอดอล” ด้วย ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะบังคับเด็กด้วยความคิดที่ว่าให้หันกลับมายังเส้นทางที่ตั้งใจอีกครั้งหนึ่งเถอะ แต่เพราะพ่อแม่ฉันโอเคนี่แหละ ตอนนี้ฉันก็เลยได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้
ฉันรู้สึกขอบคุณคุณพ่อกับคุณแม่จริงๆ ค่ะ
และก็ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการคัดเลือกทุกท่านที่เลือกฉันเข้ามานะคะ
อีกทั้งตัวฉันเองก็อยากชมเชยในความกล้าของตัวเองด้วยค่ะ
จากเด็กฮิคิโคโมริสู่ไอดอล สิ่งนี้ได้เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสซึ่งเป็นประสบการณ์แรกสุดของ “พลังแห่งการพลิกผัน” ค่ะ
この記事へのコメント
ขอบคุณที่แปลนะครับ ชอบมากครับ
Posted by Wind at 2017年01月25日 03:55