J-Translate
「逆転力~ピンチを待て~」(Gyakutenryoku ~Pinch wo Mate~) บทที่ 2
รอวิกฤต...เพื่อพลังแห่งการพลิกผัน
ในงานออดิชั่น AKB48 ฉันร้องเพลง “BINGO!” ด้วยเสียงร้องที่เปลี่ยนไปด้วยความประหม่า
บทที่ 2 หาอาวุธที่มีอยู่แค่เฉพาะตัวเองให้พบ
ช่วงระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่ที่เข้ามาใน AKB48 ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาเพื่อค้นหาอาวุธของตัวเองค่ะ
ในบทนี้ ฉันจะขอพูดถึงวิธีหาอาวุธและวิธีลับอาวุธที่ได้มาจนกลายมาเป็นของตัวเองนะคะ
ยอมแพ้ “การเป็นไอดอลที่อยู่ในกรอบ”
เมื่อกิจกรรมในฐานะสมาชิกเคงคิวเซย์ (เด็กฝึกหัด) ของ AKB48 เริ่มขึ้น ฉันก็รู้สึกได้ในทันทีเลยว่าฉันไม่สามารถเป็นไอดอลที่อยู่ในกรอบได้แน่ๆ
ในตอนแรกสุด ฉันก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้เป็นอย่างดีแหละนะ ตอนที่ยังอยู่ในโออิตะ ฉันก็มีความเชื่อมั่นตามปกติธรรมดา และคิดว่าตัวเองก็มีใบหน้าที่น่ารักด้วย แต่ก็มาเริ่มรู้ตัวในช่วงขั้นตอนของการออดิชั่น เมื่อได้มองดูเหล่าเด็กสาวที่อยู่รอบๆ แล้ว ก็คิดในใจว่า “โตเกียวนี่มันเลเวลสูงชัดๆ”
หลังจากที่ได้เลื่อนขั้นจากเคงคิวเซย์มาเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ฉันก็ยิ่งรู้สึกยอมแพ้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะปัญหาในเรื่องของวิสัยทัศน์ แต่เป็นเพราะฉันไม่เก่งในเรื่องการแสดงโดยรวมเลย ทั้งการร้องและการเต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังได้รับ “คาแรกเตอร์ถูกล้อ” ในระดับที่ค่อนข้างเร็ว ไม่ได้เป็นการพูดแบบถูกล้อด้วยตัวเอง แต่เพราะถูกล้อจากคนรอบข้าง แถมยังได้ขึ้นไปพูดด้วยแหละนะ เนื่องจากในช่วงนั้นภายในกรุ๊ปเอง “คาแรกเตอร์ถูกล้อ” ยังว่างอยู่ ฉันจึงรู้สึกว่าได้ค้นพบที่อยู่ของตนเองอย่างรวดเร็วทั้งๆ แบบนั้นค่ะ
พอเป็นเช่นนี้แล้ว ฉันก็เอาแต่พูดคุย ซึ่งการพยายามกับตำแหน่ง MC ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมั่นใจกับทางลัดที่ส่องประกาย ณ ที่แห่งนี้
การยอมแพ้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็ว หรือจะพูดให้ถูกก็คือ การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วนะคะ
ยิ่งเปลี่ยนทิศทางได้เร็วขึ้น ก็จะสามารถทำช่วงเวลาในการตีเหล็กอาวุธของตัวเองในส่วนนั้นได้ค่ะ
ยื่นความกล้าออกมาแล้วทำผิดพลาดให้มากๆ
คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดจากสมาชิกก็คือ “สิ่งสำคัญในการเป็น MC ที่สามารถพูดคุยได้เก่งๆ คืออะไรหรอคะ?” ก็ตอบได้เพียงแค่ “ตอบตามตรง มันก็คือการรักษาบรรยากาศของสถานที่นั้นๆ แหละนะ”
คิดว่าควรจะทำอย่างไรในการจับบรรยากาศดีนะ? ฉันคิดว่ามันต้องผ่านความผิดพลาดให้มากๆ เพียงแค่จับความรู้สึกด้วยประสาทสัมผัสที่เป็นตัวเองจากข้างในนั้นค่ะ
ข้อดีของ 48 Group ก็คือการมีเธียเตอร์เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ เพราะการแสดงในเธียเตอร์ก็คือ “บ้าน” ต่อให้ผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน ผู้ชมก็ยังให้อภัยอยู่เสมอค่ะ
จะดีเสียกว่าเมื่อใช้ความผิดพลาดให้เป็นประโยชน์ แล้วพวกเราก็จะสนุกกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นถึงการเติบโต
ดังนั้น ฉันจึงให้คำแนะนำกับสมาชิกไปตามนั้นค่ะ
“ฉันคิดว่าการพูดตามบทสคริปต์ล่วงหน้าในเธียเตอร์ให้ออกมาแบบพอดีเป๊ะๆ เลยมันไม่ดีหรอก อาจจะมีความกลัวอยู่บ้าง แต่วิธีการทำแบบนั้นมันน่าเสียดายนะ พวกเธอควรจะพูดออกมาโดยไม่ต้องกลัวความผิดพลาดพร้อมกับเช็คปฏิกิริยาของแฟนๆ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ให้แฟนๆ ได้เห็นถึงการเติบโตยังไงล่ะ”
ในช่วงแรกๆ ฉันเองก็ทำพลาดมามากนะ แต่ในความผิดพลาดเหล่านั้นก็ทำให้ฉันได้เติบโตขึ้นมาค่ะ
วิธีค้นหาอาวุธของตัวเองโดยเรียนรู้จากโปรดิวเซอร์
ฉันมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทำให้ฉันได้ตระหนักถึงความผิดพลาดและการเติบโตในเธียเตอร์ค่ะ
ทีมที่ฉันได้สังกัดในตอนแรกสุดก็คือ ทีม B ทีมที่มีอายุเฉลี่ยอ่อนที่สุดจากในบรรดาทีมที่มีทั้งหมด 3 ทีม ณ ขณะนั้น (A, K, B) เป็นทีมที่มีความเป็นไอดอลมากที่สุดซึ่งมี มายูยุ (วาตานาเบะ มายุ) และ ยูกิริน (คาชิวางิ ยูกิ) อยู่ในทีม
ในช่วงที่มีการจัดแสดงชุด Team B 4th Stage “Idol no yoake” (วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 - วันที่ 16 เมษายน ค.ศ.2010) ฉันได้รับตำแหน่งของตนเองเป็นครั้งแรก การได้รับคำแนะนำให้ทำตามจากรุ่นพี่อย่างแน่ชัดว่า “อยากให้มีการหมุนเวียน MC” ก็มาจากสเตจนี้ค่ะ เพราะฉันถูกเหล่าแฟนๆ บอกว่า “ทั้งๆ ที่ซาชิฮาระสามารถพูดได้แบบนั้นในสเตจเคงคิวเซย์ แต่นับตั้งแต่ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาก็ไม่สามารถพูดแบบนั้นได้ซะแล้ว” ฉันก็เลยรู้สึกว่ามีพลังใจเข้ามานิดหน่อยค่ะ
และนี่ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยใน Team B 4th Stage นะคะ
โปรดิวเซอร์ใหญ่ของ 48 Group ก็คือ คุณอาคิโมโตะ ยาสุชิ คุณอาคิโมโตะท่านไม่ได้ดูแลแค่ในส่วนของซิงเกิ้ลและอัลบั้มเท่านั้น แต่ยังดูแลจัดการเรื่องเนื้อเพลงและการเลือกเพลงจากคอนเซ็ปของการแสดงในเธียเตอร์ทั้งหมดด้วยค่ะ
จนถึงตอนนั้น ฉันก็แทบจะไม่มีโอกาสได้พบท่านเลย ถ้าให้พูดตามตรง ฉันไม่รู้เลยจริงๆ ว่าท่านเป็นคนแบบไหน
คุณอาคิโมโตะคนนั้นได้มาดูการซ้อมใหญ่รอบสุดท้ายที่ได้ทำการแสดงเหมือนในรอบจริง (หรือที่เรียกกันว่า Run Through) ของ Team B 4th Stage ค่ะ
ในการแสดง จะมีช่วง MC ที่คั่นอยู่ระหว่างเพลงต่อเพลง ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ฉันสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองคิดและเผยคาแรกเตอร์ของตนเองไปยังเหล่าแฟนๆ ได้ ฉันคิดว่า การเป็น MC ก็มีส่วนที่ทำให้ที่นั่งคนดูกับบนเวทีมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นด้วย “รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ”
“Itoshiki Natasha” เพลงที่อยู่ในลำดับที่ 9 เป็นเพลงยูนิตของฉัน, ฮาจัง (คาตายามะ ฮารุกะ) และ ทานะมิน (ทานาเบะ มิคุ) ซึ่งหลังจากที่เพลงนี้จบ พวกเราทั้งสามคนจะต้องทำหน้าที่เป็น MC ค่ะ ในตอนซ้อมใหญ่ครั้งนั้น หลังจากที่ฉันพูดว่า “เย่! และสำหรับ MC ในครั้งนี้ก็คือ...” คุณอาคิโมโตะก็สั่งให้หยุดพูดค่ะ
“แบบนั้นมันไม่น่าสนใจเลย เพลงที่ร้องไปเมื่อสักครู่นี้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ออกมาแนวร็อคด้วย ที่นี่พวกเธอได้กลายเป็นร็อคสตาร์แล้ว ลองทำหน้าที่ MC ให้ดูคล้ายกับละครตลกเบาสมองสั้นๆ ก็น่าจะดีนะ ไปตัดสินใจเรื่องชื่อทีมมา แล้วเรียกแต่ละคนด้วยชื่อเล่นแบบให้เข้ากันด้วย ต้องตัดสินใจให้ได้ก่อนรอบการแสดงจริงล่ะ”
ในตอนนั้นฉันคิดว่า หวา... ซวยแล้วไง
มุขตลกต้องออกมาฝืดแน่ๆ เลย
แต่ในตอนนั้นก็ไม่มีเวลาที่จะมาพูดบ่นอย่างโอดครวญเลยต้องลงมือทำค่ะ พวกเราคุยกันสามคน คิดชื่อเล่นของแต่ละคนและตัดสินใจคิดชื่อทีมออกมาได้ว่า “ทีมคะริวโดะ” (ทีมนักล่า)
พอการแสดงจริงเริ่มขึ้น ก็ได้ทำหน้าที่เป็น MC หลังการแสดงเพลงจบลง พวกเราทั้งสามคนก็เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันแบบง่ายๆ แล้วเริ่มแนะนำตัวเอง
“รักเพียงแค่เธอเท่านั้น ชื่อของฉันคือ ทุเรียนซาชิฮาระ ค่ะ”
ปฏิกิริยาตอบรับดีมากเลยล่ะ
ทีมคะริวโดะที่ได้จากคำแนะนำของคุณอาคิโมโตะ หลังจากนั้นก็ได้มีการเพิ่มข้อมูลปลอมๆ ตามเรื่องตามราวในทุกๆ รอบการแสดง ซึ่งคนดูที่ได้มาชมการแสดงที่เธียเตอร์ก็รู้สึกสนุกสนานเป็นอย่างมากกับคาแรกเตอร์ที่เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ทำ “การยุบทีม” ในการแสดงรอบสุดท้ายของสเตจชุดนี้ และด้วยเหตุนี้ ในงาน Request Hour (งานประกาศผลโหวตเพลงใน 48 Group ที่ถูกเลือกมาจากการลงคะแนนเสียงโหวตของแฟนๆ) ที่จัดขึ้นเป็นประเพณีในช่วงหน้าหนาวของทุกปี เพลง “Itoshiki Natasha” จึงได้รับคะแนนนิยมสูงสุดเป็นอันดับ 6 ค่ะ
ทั้งๆ ที่คิดว่ามันจะผิดพลาด แต่กลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถ้าหากเรารับมืออย่างท้าทายแล้วตัดสินใจทำมันแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์อะไรบางอย่างจะต้องตามมาอย่างแน่นอน!
คุณอาคิโมโตะสุดยอดมากค่ะ ฉันเองก็ได้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทำให้ได้รู้สึกเป็นครั้งแรกในตอนนั้นว่า “โปรดิวเซอร์มันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ” ด้วยนะคะ
ค่อยๆ พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาโดยไม่ใจร้อน
เกี่ยวกับการเป็น MC เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นจนทำให้รู้สึกว่าฝีมือของตนเองได้พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนค่ะ
เป็นช่วงที่มีการจัดแสดงคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาโอลิมปิกโตเกียวของ AKB48 (เดือนมีนาคม ค.ศ. 2014) เนื่องจากคิวลำดับการแสดงเพลงในช่วงอังกอร์มีแค่เพลงเดียว จึงได้ชมครึ่งแรกตรงที่นั่งคนดู เพราะว่าเป็นคนที่ชอบคอนเสิร์ตของไอดอลมากๆ ค่ะ
ทันใดนั้น ฉันก็ได้รับการติดต่อจากโปรดิวเซอร์ว่า “มันอาจจะต้องใช้เวลานานหน่อยจนกว่าจะเตรียมการแสดงในชุดต่อไปเสร็จ ดังนั้นเธอออกไปพูดบนเวทีซัก 5 นาทีจะได้ไหม?” เพราะฉันเข้าใจดีว่าด้านหลังเวทีค่อนข้างวุ่นๆ ยุ่งๆ เลยคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาตอบกลับคำถามแน่ๆ เลยพูดไปว่า “ได้ค่ะ” แล้วขึ้นไปบนเวที
การที่จะต้องคิดให้ได้ภายในราวๆ 10 วินาที นับตั้งแต่ที่เดินผ่านทางเดินจนถึงขึ้นบันไดบนเวทีนั้นเป็นเรื่องที่ตลกมาก “จะทำอย่างไรดี... จะทำอย่างไรดี...” การพูดคุยพร้อมกับหาเรื่องที่จะพูดไปด้วยเป็นสิ่งที่กังวลมากค่ะ เมื่อพูดในทางกลับกันแล้ว เพียงแค่ตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะพูด มันก็ไม่น่าจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ได้ขนาดนั้นหรอกนะ
ในตอนนั้น เรื่องที่ฉันหยิบยกขึ้นมาพูดก็คือเรื่องของชิมาดะ (ฮารุกะ) สมาชิกของวงที่ในพักหลังๆ ร่างกายเริ่มดูอ้วนขึ้น
“ฉันได้ดูการแสดงจากที่นั่งคนดูมา 2-3 ชั่วโมงมาแล้ว...แต่ก็อย่างที่คิดเลยนะว่าชิมาดะอ้วนขึ้นแล้ว”
เพราะเจ้าตัวเองก็เคยมีช่วงที่ทำให้เป็นที่พูดถึงผ่านช่วง MC และเอาแต่ถูกแกล้งเรื่องน้ำหนักตัวผ่านทีวี ดังนั้นการที่เหล่าแฟนๆ มีปฏิกิริยาโต้ตอบจึงเป็นการคำนวณที่ไม่น่าจะผิดพลาดนัก ทันทีที่ตัดสินใจได้ว่าจะเลือกเรื่องนั้นมาพูด ฉันก็ออกไปบนเวทีเพื่อพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ค่ะ
ได้รับเสียงตอบรับดีมากเลยล่ะ
เกี่ยวกับการเป็น MC ฉันเพิ่งรู้ตัวว่ายังมีสิ่งที่ฉันสามารถให้คำแนะนำได้อีกอย่างหนึ่งค่ะ นั่นก็คือ การพูดในระหว่างที่คิดไปด้วย กับการค่อยๆ พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้และอยากจะถ่ายทอดออกมาโดยไม่ใจร้อน
ในช่วงแรกมันอาจจะยาก แต่ถ้าหากคุ้นเคยกับมันแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้อย่างแน่นอนค่ะ
อาวุธที่เรียกว่าภาษาเขียน
อาวุธอีกอย่างหนึ่งของฉันมีความเกี่ยวข้องกับการเป็น MC นั่นก็คือ “การเขียน” ค่ะ
เมื่อฉันได้เข้ามาอยู่ในสังกัดโอตะโปรเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 ฉันก็ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของคนในวงการบันเทิง และทันทีที่เข้าสู่เดือนเมษายน ฉันก็ได้เริ่มเขียนบล็อก “ซาชิฮาระ ควอลิตี้” ขึ้นมา
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ดูเหมือนจะมีแฟนๆ ที่ตกใจและเข้ามาถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องที่ฉันเข้ามาอยู่ในสังกัดโอตะโปรอย่างมากมายเลยล่ะค่ะ เพราะว่าเป็นสังกัดที่มี อัตจัง (มาเอดะ อัตสึโกะ) และ ยูโกะจัง (โอชิมะ ยูโกะ) อยู่ เหล่าบรรดาแฟนๆ เลยคิดว่า “เป็นสังกัดที่สมาชิกซึ่งต้องการเข้าสู่เส้นทางนักแสดงหญิงเข้าไปอยู่” แต่ก็อยากให้ลองคิดดีๆ นะคะ ทั้ง คุณดะโจคลับ, คุณอะริโยชิ (ฮิโระอิคิ), คุณทสึจิดะ (เทรุยูคิ) และคุณฮิโคะมาโระ... ถ้าหากมองตามนั้นแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองเหมาะกับสังกัดนี้มากที่สุดแล้วค่ะ
เป็นการนอกเรื่องที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
กลับมาเข้าเรื่องบล็อกกันดีกว่านะคะ
ตอนสมัยที่ยังอยู่ในโออิตะ ฉันเคยเปิดบล็อกเป็นของตัวเอง และก็เคยเขียนบล็อกลงในโมบาเมะ (บล็อกคอนเทนท์สำหรับโทรศัพท์มือถือที่ต้องจ่ายเงินแบบรายเดือน โดยจะมีเมลจากสมาชิกส่งมาอัพเดต) ด้วย ดังนั้นฉันจึงคิดว่าตัวเองถนัดการเขียนค่ะ
หลังจากที่ฉันได้อัพบล็อกอันแรกพร้อมกับแนะนำตัว อยู่ๆ ก็มีคอมเม้นเข้ามาถึง 3,000 คอมเม้นในทันที ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าแฟนๆ ของฉันเองก็นับว่าแปลกใช้ได้ เพราะว่าเป็นคอมเม้นที่ดูแล้วผิดแผกไปจากธรรมดาเลยทีเดียวล่ะ พอฉันเลือกคอมเม้นเหล่านั้นแล้วแสดงปฏิกิริยาผ่านทางบล็อกที่เขียน บล็อกของฉันก็มีบรรยากาศที่ครื้นเครงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ฉันอัพบล็อกอันที่สอง จู่ๆ ก็มีเมลจากคุณอาคิโมโตะส่งเข้ามายังโทรศัพท์มือถือของฉันว่า “บล็อกน่าสนใจมาก”
ฉันตกใจมากเลยค่ะ แต่เดิมที ฉันตกใจเรื่องที่คุณอาคิโมโตะรู้อีเมลแอดเดรสของฉันนี่แหละ
พอตอนนี้ได้ย้อนกลับมาอ่านบล็อกที่เคยเขียนในอดีต บอกตามตรง ฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกว่ามันน่าสนใจตรงไหนน่ะนะ ซึ่งบล็อกอันที่สองที่ถูกคุณอาคิโมโตะชมก็คือบล็อกอันนี้ค่ะ
ต้นหอมสีขาว ตัวฉันสีขาว และกลางดึกอันมืดมิด
2010-04-30 22:21:36
เมื่อวาน ขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนน
ต้นหอมก็ได้หล่นกลิ้งลงมา
จะบอกอีกครั้งนะ
ต้นหอมก็ได้หล่นกลิ้งลงมา
ตกใจไหมคะ?
ความแตกต่างของเจ้าต้นหอมสีขาวที่ตัดกันกับความมืดมิดยามดึกนี่มันช่างสุดยอดจริงๆ
เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยไม่ได้ทำ
แต่พอกลับมาดูตอนเช้าก็ไม่มีซะแล้ว (゜_゜
อา... เจ้าต้นหอมต้นนั้นจะเป็นอย่างไรนะ
จะไปอยู่ที่ไหนกันนะ
จะไปอยู่กับใครนะ
รู้สึกตัวอีกที ในหัวของฉันก็มีแต่เจ้าต้นหอมนั่น
เอ๊ะ? หรือว่านี่จะเป็น...!
...ความรัก!?
ณ ก่อนเวลา 22.00 น. ของคืนวันศุกร์ในช่วงวัย 17 ที่เอาแต่คิดเรื่องแบบนั้น
บล็อกที่เขียนนี้เป็นเหตุจูงใจที่ทำให้สามารถโต้ตอบเมลกับคุณอาคิโมโตะได้ค่ะ “อัพบล็อกแค่วันละ 1 ครั้งมันน้อยไปนะ เพิ่มจำนวนอัพบล็อกให้มากกว่านี้สิ” “ที่ซาชิฮาระถามคนอ่านนี่น่าสนใจดีนะ ถ้าหากจะให้ลองทำช่วงคอร์เนอร์ให้ดูคล้ายกับเป็นคนตอบคำถามทางไปรษณียบัตรในรายการวิทยุ เธอเห็นว่าอย่างไรบ้าง?” เมื่อคุณอาคิโมโตะได้ยินมาว่าฉันอยากให้บล็อกของฉันติดอันดับ 1 ของการจัดอันดับบล็อกในรายการทีวี เขาก็ได้ให้คำแนะนำมาว่า “งั้น ถ้าหากเธอลองอัพบล็อกวันละ 100 ครั้งต่อวันล่ะ?” จากนั้น โปรเจคการอัพบล็อก 100 ครั้งก็ได้เริ่มต้นขึ้นมาจริงๆ ค่ะ
สิ่งที่แฟนๆ ทุกคนและคุณอาคิโมโตะรู้สึกเกี่ยวกับตัวฉันว่า “กำลังเป็นที่น่าสนใจ” ในช่วงเวลานี้นับว่าเป็นครั้งแรกสุดค่ะ พอคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ก็คิดว่าจุดเริ่มต้นทั้งหมดมาจากการเขียนบล็อกนี้ค่ะ
ไม่ใช่สิ ถ้าหากจุดเริ่มต้นทั้งหมดคือ การพบกันโดยบังเอิญกับ 2ch เมื่อตอนที่อยู่ชั้น ป.5 แล้วสามารถเขียนออกมาได้ด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ การที่มีตัวฉันในตอนนี้ก็น่าจะเป็นเพราะ 2ch นี่แหละ
ดูเหมือนอาวุธของฉันจะถูกปลุกปั้นขึ้นมาจากอินเตอร์เนตนะ
ข้อสรุปอันน่ากลัวได้ออกมาแล้วล่ะค่ะ
เปลี่ยนเวทีประลอง
ใน 48 Group มีสมาชิกอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแม้ในยามปกติเองก็มีอัตราการแข่งขันสูงอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น แต่เมื่อได้มองเหล่าสมาชิกรุ่นน้อง ก็คิดว่ามีเด็กๆ อยู่อีกจำนวนมากที่ยังเคร่งครัดกับการเป็นไอดอลที่อยู่ในกรอบมากเกินไปจนไม่สามารถแสดงความเป็นลักษณะเฉพาะบุคคลออกมาได้ ถ้าหากแข่งขันบนเวทีเดียวกัน ใช้กฏเกณฑ์อย่างเดียวกัน และใช้อาวุธที่เหมือนกัน เราก็จะมองเห็นความพ่ายแพ้อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หรอคะ?
ดังนั้น จงเปลี่ยนเวทีประลอง และอย่าต่อสู้อยู่บนเวทีประลองของคู่ต่อสู้!
ขออนุญาตให้คำแนะนำได้ไหมคะ?
“อย่าคิดมากจนเกินไป ไม่ใช่ที่นั่นหรอกนะ”
ถ้าหากอยู่ “ที่นั่น” แล้วรู้สึกแพ้ล่ะก็ ต้องค้นหาเส้นทางอื่นๆ นะคะ
ค้นหาอาวุธหนึ่งชิ้นที่จะกลายเป็นตัวเอง ตีเหล็กขึ้นมา แล้วต่อสู้ด้วยอาวุธชิ้นนั้น เพียงสิ่งนี้เท่านั้นค่ะ
ช่วงระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่ที่เข้ามาใน AKB48 ฉันรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาเพื่อค้นหาอาวุธของตัวเองค่ะ
ในบทนี้ ฉันจะขอพูดถึงวิธีหาอาวุธและวิธีลับอาวุธที่ได้มาจนกลายมาเป็นของตัวเองนะคะ
ยอมแพ้ “การเป็นไอดอลที่อยู่ในกรอบ”
เมื่อกิจกรรมในฐานะสมาชิกเคงคิวเซย์ (เด็กฝึกหัด) ของ AKB48 เริ่มขึ้น ฉันก็รู้สึกได้ในทันทีเลยว่าฉันไม่สามารถเป็นไอดอลที่อยู่ในกรอบได้แน่ๆ
ในตอนแรกสุด ฉันก็ตั้งเป้าหมายเอาไว้เป็นอย่างดีแหละนะ ตอนที่ยังอยู่ในโออิตะ ฉันก็มีความเชื่อมั่นตามปกติธรรมดา และคิดว่าตัวเองก็มีใบหน้าที่น่ารักด้วย แต่ก็มาเริ่มรู้ตัวในช่วงขั้นตอนของการออดิชั่น เมื่อได้มองดูเหล่าเด็กสาวที่อยู่รอบๆ แล้ว ก็คิดในใจว่า “โตเกียวนี่มันเลเวลสูงชัดๆ”
หลังจากที่ได้เลื่อนขั้นจากเคงคิวเซย์มาเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ ฉันก็ยิ่งรู้สึกยอมแพ้มากขึ้น ไม่ใช่เพราะปัญหาในเรื่องของวิสัยทัศน์ แต่เป็นเพราะฉันไม่เก่งในเรื่องการแสดงโดยรวมเลย ทั้งการร้องและการเต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ฉันยังได้รับ “คาแรกเตอร์ถูกล้อ” ในระดับที่ค่อนข้างเร็ว ไม่ได้เป็นการพูดแบบถูกล้อด้วยตัวเอง แต่เพราะถูกล้อจากคนรอบข้าง แถมยังได้ขึ้นไปพูดด้วยแหละนะ เนื่องจากในช่วงนั้นภายในกรุ๊ปเอง “คาแรกเตอร์ถูกล้อ” ยังว่างอยู่ ฉันจึงรู้สึกว่าได้ค้นพบที่อยู่ของตนเองอย่างรวดเร็วทั้งๆ แบบนั้นค่ะ
พอเป็นเช่นนี้แล้ว ฉันก็เอาแต่พูดคุย ซึ่งการพยายามกับตำแหน่ง MC ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมั่นใจกับทางลัดที่ส่องประกาย ณ ที่แห่งนี้
การยอมแพ้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็ว หรือจะพูดให้ถูกก็คือ การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วนะคะ
ยิ่งเปลี่ยนทิศทางได้เร็วขึ้น ก็จะสามารถทำช่วงเวลาในการตีเหล็กอาวุธของตัวเองในส่วนนั้นได้ค่ะ
ยื่นความกล้าออกมาแล้วทำผิดพลาดให้มากๆ
คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุดจากสมาชิกก็คือ “สิ่งสำคัญในการเป็น MC ที่สามารถพูดคุยได้เก่งๆ คืออะไรหรอคะ?” ก็ตอบได้เพียงแค่ “ตอบตามตรง มันก็คือการรักษาบรรยากาศของสถานที่นั้นๆ แหละนะ”
คิดว่าควรจะทำอย่างไรในการจับบรรยากาศดีนะ? ฉันคิดว่ามันต้องผ่านความผิดพลาดให้มากๆ เพียงแค่จับความรู้สึกด้วยประสาทสัมผัสที่เป็นตัวเองจากข้างในนั้นค่ะ
ข้อดีของ 48 Group ก็คือการมีเธียเตอร์เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ เพราะการแสดงในเธียเตอร์ก็คือ “บ้าน” ต่อให้ผิดพลาดมากน้อยแค่ไหน ผู้ชมก็ยังให้อภัยอยู่เสมอค่ะ
จะดีเสียกว่าเมื่อใช้ความผิดพลาดให้เป็นประโยชน์ แล้วพวกเราก็จะสนุกกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นถึงการเติบโต
ดังนั้น ฉันจึงให้คำแนะนำกับสมาชิกไปตามนั้นค่ะ
“ฉันคิดว่าการพูดตามบทสคริปต์ล่วงหน้าในเธียเตอร์ให้ออกมาแบบพอดีเป๊ะๆ เลยมันไม่ดีหรอก อาจจะมีความกลัวอยู่บ้าง แต่วิธีการทำแบบนั้นมันน่าเสียดายนะ พวกเธอควรจะพูดออกมาโดยไม่ต้องกลัวความผิดพลาดพร้อมกับเช็คปฏิกิริยาของแฟนๆ เพราะมันเป็นสถานที่ที่ให้แฟนๆ ได้เห็นถึงการเติบโตยังไงล่ะ”
ในช่วงแรกๆ ฉันเองก็ทำพลาดมามากนะ แต่ในความผิดพลาดเหล่านั้นก็ทำให้ฉันได้เติบโตขึ้นมาค่ะ
วิธีค้นหาอาวุธของตัวเองโดยเรียนรู้จากโปรดิวเซอร์
ฉันมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทำให้ฉันได้ตระหนักถึงความผิดพลาดและการเติบโตในเธียเตอร์ค่ะ
ทีมที่ฉันได้สังกัดในตอนแรกสุดก็คือ ทีม B ทีมที่มีอายุเฉลี่ยอ่อนที่สุดจากในบรรดาทีมที่มีทั้งหมด 3 ทีม ณ ขณะนั้น (A, K, B) เป็นทีมที่มีความเป็นไอดอลมากที่สุดซึ่งมี มายูยุ (วาตานาเบะ มายุ) และ ยูกิริน (คาชิวางิ ยูกิ) อยู่ในทีม
ในช่วงที่มีการจัดแสดงชุด Team B 4th Stage “Idol no yoake” (วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 - วันที่ 16 เมษายน ค.ศ.2010) ฉันได้รับตำแหน่งของตนเองเป็นครั้งแรก การได้รับคำแนะนำให้ทำตามจากรุ่นพี่อย่างแน่ชัดว่า “อยากให้มีการหมุนเวียน MC” ก็มาจากสเตจนี้ค่ะ เพราะฉันถูกเหล่าแฟนๆ บอกว่า “ทั้งๆ ที่ซาชิฮาระสามารถพูดได้แบบนั้นในสเตจเคงคิวเซย์ แต่นับตั้งแต่ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นมาก็ไม่สามารถพูดแบบนั้นได้ซะแล้ว” ฉันก็เลยรู้สึกว่ามีพลังใจเข้ามานิดหน่อยค่ะ
และนี่ก็เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยใน Team B 4th Stage นะคะ
โปรดิวเซอร์ใหญ่ของ 48 Group ก็คือ คุณอาคิโมโตะ ยาสุชิ คุณอาคิโมโตะท่านไม่ได้ดูแลแค่ในส่วนของซิงเกิ้ลและอัลบั้มเท่านั้น แต่ยังดูแลจัดการเรื่องเนื้อเพลงและการเลือกเพลงจากคอนเซ็ปของการแสดงในเธียเตอร์ทั้งหมดด้วยค่ะ
จนถึงตอนนั้น ฉันก็แทบจะไม่มีโอกาสได้พบท่านเลย ถ้าให้พูดตามตรง ฉันไม่รู้เลยจริงๆ ว่าท่านเป็นคนแบบไหน
คุณอาคิโมโตะคนนั้นได้มาดูการซ้อมใหญ่รอบสุดท้ายที่ได้ทำการแสดงเหมือนในรอบจริง (หรือที่เรียกกันว่า Run Through) ของ Team B 4th Stage ค่ะ
ในการแสดง จะมีช่วง MC ที่คั่นอยู่ระหว่างเพลงต่อเพลง ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ฉันสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ตัวเองคิดและเผยคาแรกเตอร์ของตนเองไปยังเหล่าแฟนๆ ได้ ฉันคิดว่า การเป็น MC ก็มีส่วนที่ทำให้ที่นั่งคนดูกับบนเวทีมีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้นด้วย “รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ”
“Itoshiki Natasha” เพลงที่อยู่ในลำดับที่ 9 เป็นเพลงยูนิตของฉัน, ฮาจัง (คาตายามะ ฮารุกะ) และ ทานะมิน (ทานาเบะ มิคุ) ซึ่งหลังจากที่เพลงนี้จบ พวกเราทั้งสามคนจะต้องทำหน้าที่เป็น MC ค่ะ ในตอนซ้อมใหญ่ครั้งนั้น หลังจากที่ฉันพูดว่า “เย่! และสำหรับ MC ในครั้งนี้ก็คือ...” คุณอาคิโมโตะก็สั่งให้หยุดพูดค่ะ
“แบบนั้นมันไม่น่าสนใจเลย เพลงที่ร้องไปเมื่อสักครู่นี้เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายก็ออกมาแนวร็อคด้วย ที่นี่พวกเธอได้กลายเป็นร็อคสตาร์แล้ว ลองทำหน้าที่ MC ให้ดูคล้ายกับละครตลกเบาสมองสั้นๆ ก็น่าจะดีนะ ไปตัดสินใจเรื่องชื่อทีมมา แล้วเรียกแต่ละคนด้วยชื่อเล่นแบบให้เข้ากันด้วย ต้องตัดสินใจให้ได้ก่อนรอบการแสดงจริงล่ะ”
ในตอนนั้นฉันคิดว่า หวา... ซวยแล้วไง
มุขตลกต้องออกมาฝืดแน่ๆ เลย
แต่ในตอนนั้นก็ไม่มีเวลาที่จะมาพูดบ่นอย่างโอดครวญเลยต้องลงมือทำค่ะ พวกเราคุยกันสามคน คิดชื่อเล่นของแต่ละคนและตัดสินใจคิดชื่อทีมออกมาได้ว่า “ทีมคะริวโดะ” (ทีมนักล่า)
พอการแสดงจริงเริ่มขึ้น ก็ได้ทำหน้าที่เป็น MC หลังการแสดงเพลงจบลง พวกเราทั้งสามคนก็เกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันแบบง่ายๆ แล้วเริ่มแนะนำตัวเอง
“รักเพียงแค่เธอเท่านั้น ชื่อของฉันคือ ทุเรียนซาชิฮาระ ค่ะ”
ปฏิกิริยาตอบรับดีมากเลยล่ะ
ทีมคะริวโดะที่ได้จากคำแนะนำของคุณอาคิโมโตะ หลังจากนั้นก็ได้มีการเพิ่มข้อมูลปลอมๆ ตามเรื่องตามราวในทุกๆ รอบการแสดง ซึ่งคนดูที่ได้มาชมการแสดงที่เธียเตอร์ก็รู้สึกสนุกสนานเป็นอย่างมากกับคาแรกเตอร์ที่เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ทำ “การยุบทีม” ในการแสดงรอบสุดท้ายของสเตจชุดนี้ และด้วยเหตุนี้ ในงาน Request Hour (งานประกาศผลโหวตเพลงใน 48 Group ที่ถูกเลือกมาจากการลงคะแนนเสียงโหวตของแฟนๆ) ที่จัดขึ้นเป็นประเพณีในช่วงหน้าหนาวของทุกปี เพลง “Itoshiki Natasha” จึงได้รับคะแนนนิยมสูงสุดเป็นอันดับ 6 ค่ะ
ทั้งๆ ที่คิดว่ามันจะผิดพลาด แต่กลับประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ถ้าหากเรารับมืออย่างท้าทายแล้วตัดสินใจทำมันแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์อะไรบางอย่างจะต้องตามมาอย่างแน่นอน!
คุณอาคิโมโตะสุดยอดมากค่ะ ฉันเองก็ได้มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ทำให้ได้รู้สึกเป็นครั้งแรกในตอนนั้นว่า “โปรดิวเซอร์มันเป็นแบบนี้นี่เองสินะ” ด้วยนะคะ
ค่อยๆ พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมาโดยไม่ใจร้อน
เกี่ยวกับการเป็น MC เมื่อไม่นานมานี้ มีเรื่องราวเกิดขึ้นจนทำให้รู้สึกว่าฝีมือของตนเองได้พัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนค่ะ
เป็นช่วงที่มีการจัดแสดงคอนเสิร์ตที่สนามกีฬาโอลิมปิกโตเกียวของ AKB48 (เดือนมีนาคม ค.ศ. 2014) เนื่องจากคิวลำดับการแสดงเพลงในช่วงอังกอร์มีแค่เพลงเดียว จึงได้ชมครึ่งแรกตรงที่นั่งคนดู เพราะว่าเป็นคนที่ชอบคอนเสิร์ตของไอดอลมากๆ ค่ะ
ทันใดนั้น ฉันก็ได้รับการติดต่อจากโปรดิวเซอร์ว่า “มันอาจจะต้องใช้เวลานานหน่อยจนกว่าจะเตรียมการแสดงในชุดต่อไปเสร็จ ดังนั้นเธอออกไปพูดบนเวทีซัก 5 นาทีจะได้ไหม?” เพราะฉันเข้าใจดีว่าด้านหลังเวทีค่อนข้างวุ่นๆ ยุ่งๆ เลยคิดว่ามันไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาตอบกลับคำถามแน่ๆ เลยพูดไปว่า “ได้ค่ะ” แล้วขึ้นไปบนเวที
การที่จะต้องคิดให้ได้ภายในราวๆ 10 วินาที นับตั้งแต่ที่เดินผ่านทางเดินจนถึงขึ้นบันไดบนเวทีนั้นเป็นเรื่องที่ตลกมาก “จะทำอย่างไรดี... จะทำอย่างไรดี...” การพูดคุยพร้อมกับหาเรื่องที่จะพูดไปด้วยเป็นสิ่งที่กังวลมากค่ะ เมื่อพูดในทางกลับกันแล้ว เพียงแค่ตัดสินใจเลือกเรื่องที่จะพูด มันก็ไม่น่าจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกแย่ได้ขนาดนั้นหรอกนะ
ในตอนนั้น เรื่องที่ฉันหยิบยกขึ้นมาพูดก็คือเรื่องของชิมาดะ (ฮารุกะ) สมาชิกของวงที่ในพักหลังๆ ร่างกายเริ่มดูอ้วนขึ้น
“ฉันได้ดูการแสดงจากที่นั่งคนดูมา 2-3 ชั่วโมงมาแล้ว...แต่ก็อย่างที่คิดเลยนะว่าชิมาดะอ้วนขึ้นแล้ว”
เพราะเจ้าตัวเองก็เคยมีช่วงที่ทำให้เป็นที่พูดถึงผ่านช่วง MC และเอาแต่ถูกแกล้งเรื่องน้ำหนักตัวผ่านทีวี ดังนั้นการที่เหล่าแฟนๆ มีปฏิกิริยาโต้ตอบจึงเป็นการคำนวณที่ไม่น่าจะผิดพลาดนัก ทันทีที่ตัดสินใจได้ว่าจะเลือกเรื่องนั้นมาพูด ฉันก็ออกไปบนเวทีเพื่อพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ค่ะ
ได้รับเสียงตอบรับดีมากเลยล่ะ
เกี่ยวกับการเป็น MC ฉันเพิ่งรู้ตัวว่ายังมีสิ่งที่ฉันสามารถให้คำแนะนำได้อีกอย่างหนึ่งค่ะ นั่นก็คือ การพูดในระหว่างที่คิดไปด้วย กับการค่อยๆ พูดในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้และอยากจะถ่ายทอดออกมาโดยไม่ใจร้อน
ในช่วงแรกมันอาจจะยาก แต่ถ้าหากคุ้นเคยกับมันแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้อย่างแน่นอนค่ะ
อาวุธที่เรียกว่าภาษาเขียน
อาวุธอีกอย่างหนึ่งของฉันมีความเกี่ยวข้องกับการเป็น MC นั่นก็คือ “การเขียน” ค่ะ
เมื่อฉันได้เข้ามาอยู่ในสังกัดโอตะโปรเมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. 2010 ฉันก็ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มของคนในวงการบันเทิง และทันทีที่เข้าสู่เดือนเมษายน ฉันก็ได้เริ่มเขียนบล็อก “ซาชิฮาระ ควอลิตี้” ขึ้นมา
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ดูเหมือนจะมีแฟนๆ ที่ตกใจและเข้ามาถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องที่ฉันเข้ามาอยู่ในสังกัดโอตะโปรอย่างมากมายเลยล่ะค่ะ เพราะว่าเป็นสังกัดที่มี อัตจัง (มาเอดะ อัตสึโกะ) และ ยูโกะจัง (โอชิมะ ยูโกะ) อยู่ เหล่าบรรดาแฟนๆ เลยคิดว่า “เป็นสังกัดที่สมาชิกซึ่งต้องการเข้าสู่เส้นทางนักแสดงหญิงเข้าไปอยู่” แต่ก็อยากให้ลองคิดดีๆ นะคะ ทั้ง คุณดะโจคลับ, คุณอะริโยชิ (ฮิโระอิคิ), คุณทสึจิดะ (เทรุยูคิ) และคุณฮิโคะมาโระ... ถ้าหากมองตามนั้นแล้ว ฉันคิดว่าตัวเองเหมาะกับสังกัดนี้มากที่สุดแล้วค่ะ
เป็นการนอกเรื่องที่สมบูรณ์แบบจริงๆ
กลับมาเข้าเรื่องบล็อกกันดีกว่านะคะ
ตอนสมัยที่ยังอยู่ในโออิตะ ฉันเคยเปิดบล็อกเป็นของตัวเอง และก็เคยเขียนบล็อกลงในโมบาเมะ (บล็อกคอนเทนท์สำหรับโทรศัพท์มือถือที่ต้องจ่ายเงินแบบรายเดือน โดยจะมีเมลจากสมาชิกส่งมาอัพเดต) ด้วย ดังนั้นฉันจึงคิดว่าตัวเองถนัดการเขียนค่ะ
หลังจากที่ฉันได้อัพบล็อกอันแรกพร้อมกับแนะนำตัว อยู่ๆ ก็มีคอมเม้นเข้ามาถึง 3,000 คอมเม้นในทันที ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าแฟนๆ ของฉันเองก็นับว่าแปลกใช้ได้ เพราะว่าเป็นคอมเม้นที่ดูแล้วผิดแผกไปจากธรรมดาเลยทีเดียวล่ะ พอฉันเลือกคอมเม้นเหล่านั้นแล้วแสดงปฏิกิริยาผ่านทางบล็อกที่เขียน บล็อกของฉันก็มีบรรยากาศที่ครื้นเครงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ฉันอัพบล็อกอันที่สอง จู่ๆ ก็มีเมลจากคุณอาคิโมโตะส่งเข้ามายังโทรศัพท์มือถือของฉันว่า “บล็อกน่าสนใจมาก”
ฉันตกใจมากเลยค่ะ แต่เดิมที ฉันตกใจเรื่องที่คุณอาคิโมโตะรู้อีเมลแอดเดรสของฉันนี่แหละ
พอตอนนี้ได้ย้อนกลับมาอ่านบล็อกที่เคยเขียนในอดีต บอกตามตรง ฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกว่ามันน่าสนใจตรงไหนน่ะนะ ซึ่งบล็อกอันที่สองที่ถูกคุณอาคิโมโตะชมก็คือบล็อกอันนี้ค่ะ
ต้นหอมสีขาว ตัวฉันสีขาว และกลางดึกอันมืดมิด
2010-04-30 22:21:36
เมื่อวาน ขณะที่กำลังเดินอยู่บนถนน
ต้นหอมก็ได้หล่นกลิ้งลงมา
จะบอกอีกครั้งนะ
ต้นหอมก็ได้หล่นกลิ้งลงมา
ตกใจไหมคะ?
ความแตกต่างของเจ้าต้นหอมสีขาวที่ตัดกันกับความมืดมิดยามดึกนี่มันช่างสุดยอดจริงๆ
เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ก็เลยไม่ได้ทำ
แต่พอกลับมาดูตอนเช้าก็ไม่มีซะแล้ว (゜_゜
อา... เจ้าต้นหอมต้นนั้นจะเป็นอย่างไรนะ
จะไปอยู่ที่ไหนกันนะ
จะไปอยู่กับใครนะ
รู้สึกตัวอีกที ในหัวของฉันก็มีแต่เจ้าต้นหอมนั่น
เอ๊ะ? หรือว่านี่จะเป็น...!
...ความรัก!?
ณ ก่อนเวลา 22.00 น. ของคืนวันศุกร์ในช่วงวัย 17 ที่เอาแต่คิดเรื่องแบบนั้น
บล็อกที่เขียนนี้เป็นเหตุจูงใจที่ทำให้สามารถโต้ตอบเมลกับคุณอาคิโมโตะได้ค่ะ “อัพบล็อกแค่วันละ 1 ครั้งมันน้อยไปนะ เพิ่มจำนวนอัพบล็อกให้มากกว่านี้สิ” “ที่ซาชิฮาระถามคนอ่านนี่น่าสนใจดีนะ ถ้าหากจะให้ลองทำช่วงคอร์เนอร์ให้ดูคล้ายกับเป็นคนตอบคำถามทางไปรษณียบัตรในรายการวิทยุ เธอเห็นว่าอย่างไรบ้าง?” เมื่อคุณอาคิโมโตะได้ยินมาว่าฉันอยากให้บล็อกของฉันติดอันดับ 1 ของการจัดอันดับบล็อกในรายการทีวี เขาก็ได้ให้คำแนะนำมาว่า “งั้น ถ้าหากเธอลองอัพบล็อกวันละ 100 ครั้งต่อวันล่ะ?” จากนั้น โปรเจคการอัพบล็อก 100 ครั้งก็ได้เริ่มต้นขึ้นมาจริงๆ ค่ะ
สิ่งที่แฟนๆ ทุกคนและคุณอาคิโมโตะรู้สึกเกี่ยวกับตัวฉันว่า “กำลังเป็นที่น่าสนใจ” ในช่วงเวลานี้นับว่าเป็นครั้งแรกสุดค่ะ พอคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว ก็คิดว่าจุดเริ่มต้นทั้งหมดมาจากการเขียนบล็อกนี้ค่ะ
ไม่ใช่สิ ถ้าหากจุดเริ่มต้นทั้งหมดคือ การพบกันโดยบังเอิญกับ 2ch เมื่อตอนที่อยู่ชั้น ป.5 แล้วสามารถเขียนออกมาได้ด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ การที่มีตัวฉันในตอนนี้ก็น่าจะเป็นเพราะ 2ch นี่แหละ
ดูเหมือนอาวุธของฉันจะถูกปลุกปั้นขึ้นมาจากอินเตอร์เนตนะ
ข้อสรุปอันน่ากลัวได้ออกมาแล้วล่ะค่ะ
เปลี่ยนเวทีประลอง
ใน 48 Group มีสมาชิกอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งแม้ในยามปกติเองก็มีอัตราการแข่งขันสูงอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้น แต่เมื่อได้มองเหล่าสมาชิกรุ่นน้อง ก็คิดว่ามีเด็กๆ อยู่อีกจำนวนมากที่ยังเคร่งครัดกับการเป็นไอดอลที่อยู่ในกรอบมากเกินไปจนไม่สามารถแสดงความเป็นลักษณะเฉพาะบุคคลออกมาได้ ถ้าหากแข่งขันบนเวทีเดียวกัน ใช้กฏเกณฑ์อย่างเดียวกัน และใช้อาวุธที่เหมือนกัน เราก็จะมองเห็นความพ่ายแพ้อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หรอคะ?
ดังนั้น จงเปลี่ยนเวทีประลอง และอย่าต่อสู้อยู่บนเวทีประลองของคู่ต่อสู้!
ขออนุญาตให้คำแนะนำได้ไหมคะ?
“อย่าคิดมากจนเกินไป ไม่ใช่ที่นั่นหรอกนะ”
ถ้าหากอยู่ “ที่นั่น” แล้วรู้สึกแพ้ล่ะก็ ต้องค้นหาเส้นทางอื่นๆ นะคะ
ค้นหาอาวุธหนึ่งชิ้นที่จะกลายเป็นตัวเอง ตีเหล็กขึ้นมา แล้วต่อสู้ด้วยอาวุธชิ้นนั้น เพียงสิ่งนี้เท่านั้นค่ะ