J-Translate
「逆転力~ピンチを待て~」(Gyakutenryoku ~Pinch wo Mate~) บทที่ 4
รอวิกฤต...เพื่อพลังแห่งการพลิกผัน
ฉันถูกคุณอาคิโมโตะ ยาสุชิ โปรดิวเซอร์ บอกประกาศที่เซอร์ไพรส์ที่สุดในประวัติศาสตร์กลางรายการ “AKB48 no All Night Nippon”
บทที่ 4 วิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตและวิธีคิดแบบ “พลิกผัน”
การตัดสินเลือกสมาชิกเซมบัตสึใน CD ซิงเกิ้ลต่อไปด้วยคะแนนโหวตจากแฟนๆ เหล่าสมาชิกในกลุ่มไอดอลจึงต้องทำให้ตนเองติดอันดับโดยการสร้างความนิยม ฉันคิดว่าจนถึงตอนนี้ทั้งเหล่าสมาชิกและแฟนๆ เองต่างก็ยอมรับจนรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาแล้ว แต่ในงานเลือกตั้ง “Senbatsu Sousenkyo” ที่จัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง มาตั้งแต่ปี 2009 มันโหดร้ายมากค่ะ คุณอาคิโมโตะ คุณเป็นคนที่ฉันรู้สึกคาดไม่ถึงเกินไปแล้วนะคะ
ด้วยแรงสนับสนุนจากทุกคน จึงทำให้ผลการเลือกตั้งของฉันตั้งแต่ครั้งแรกมีอันดับที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ ฉันรู้สึกอยากขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ
ปี 2009 ได้อันดับที่ 27, ปี 2010 ได้อันดับที่ 19 และปี 2011 ได้อันดับที่ 9...
ในตอนแรกสุด แม้ว่าจะได้ออก PV แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่ต้องคอย “ค้นหาซาชิฮาระ!” เพราะได้รับแอร์ไทม์เพียงประมาณ 2.5 วินาที แต่พอผลอันดับในการเลือกตั้งดีขึ้น ก็ได้รับแอร์ไทม์ไปมากกว่า 1 นาทีเลยค่ะ
และในปี 2012 ผลการเลือกตั้งครั้งที่ 4 ฉันก็ได้อันดับที่ 4 มาครองด้วยคะแนนทั้งหมด 67,339 คะแนน ฉันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เลยนะคะ
สำหรับงานประกาศผลคะแนนการเลือกตั้งครั้งที่ 4 นั้น ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน
แต่หลังจากนั้นอีก 10 วัน ฉันก็ได้ย้ายมาอยู่วง HKT48 แล้ว
ดังนั้น ในบทนี้ ฉันจะมาเล่าถึงเรื่องราวอันเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตจนถึงตอนนี้ค่ะ
ตั้งใจที่จะลาออกจาก AKB48
วันที่ฉันได้รับการติดต่อเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวฉันเองได้ถูกลงสื่อในนิตยสารรายสัปดาห์เจ้าหนึ่ง ตรงกับวันจันทร์ที่มีการถ่ายทอดสดรายการ “Waratte ii tomo!”
ใน 48 Group จะมีกฎที่ว่า “ห้ามมีความรัก” อยู่ค่ะ
และเรื่องที่ถูกตีพิมพ์ก็คือเรื่องที่ฉันได้แหกกฎข้อนี้ในสมัยที่ยังเป็นเคงคิวเซย์นั่นเอง...
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้มืดสนิทลงแล้ว
เย็นวันนั้น เป็นทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศของ AKB48 โดยเป็นคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในจังหวัดจิบะ แน่นอนว่าฉันไม่สามารถหยุดพักได้ ถึงแม้ว่าฉันจะทำการแสดงอย่างเต็มที่ แต่น้ำตาก็ไหลไม่หยุดเลยค่ะ ทุกๆ คนที่อยู่ในคอนเสิร์ตวันนั้นก็ยังคิดเลยว่าฉันคงไม่ได้ยืนอยู่บนเวทีด้วยกันแล้ว
สำหรับเรื่องการแหกกฎนั้น ในกรณีที่ค้นพบหลักฐานที่ชัดเจน ทางฝ่ายบริหารก็จะให้เราได้ตัดสินใจเพื่อหาทางออก
ลงโทษพักงาน, ลดขั้นลงไปเป็นเคงคิวเซย์, ลาออกจากวง
ตัวฉันเองก็เคยคิดว่าจะลาออกจากวง AKB48 และคิดว่าต้องขอโทษแฟนๆ จำนวนมากที่ให้การสนับสนุนวง AKB48 ด้วย เพราะว่าฉันไม่อยากรบกวนเพื่อนๆ สมาชิกในวงค่ะ และฉันก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้คุณอาคิโมโตะได้รับทราบด้วย
“เข้าใจแล้วครับ เพราะจะได้เหลือแค่คนที่คิดว่าอยากจะฝ่าฟันต่อความยากลำบากในวงการบันเทิงแบบจริงจังเท่านั้นยังไงล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้นแล้ว ฉันจึงสามารถหยุดความคิดจินตนาการที่ไปในทางด้านลบได้อย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นความรู้สึกจากทั่วทุกสารทิศที่อยู่ด้วยแฟนๆ ที่เป็นมนุษย์คล้ายกับฉัน มากกว่าที่จะพูดว่าความรู้สึกของแฟนๆ จำนวนมากที่ให้การสนับสนุน AKB48 และตัวเองก็ได้ลองคิดถึงความหมายของคำว่าเซมบัตสึที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ค่ะ
เมื่อบทความถูกตีพิมพ์ออกมา แน่นอนว่าทางด้านแฟนๆ ต่างก็รู้สึกเป็นห่วงเรื่องของฉัน และถ้าหากจู่ๆ ตัวฉันเองได้ประกาศจบการศึกษาจาก AKB48 แล้วออกจากวงการบันเทิงด้วยเรื่องแบบนั้น ก็คงจะไม่เศร้าไปมากกว่านี้
และแล้วเรื่องของคาเมอิ เอริจัง ก็ได้แวบเข้ามาในหัว ตัวฉันเองชื่นชอบคาเมอิจังมากๆ แต่เจ้าตัวก็ได้ตัดสินใจออกจากวง Morning Musume ไปแบบกะทันหัน (เมื่อเดือนธันวาคม 2010) และยังได้ตัดสินใจออกจากวงการบันเทิงไปพร้อมกันด้วย
ตอนนั้นฉันรู้สึกช็อค ราวกับว่าชีวิตของฉันได้จบสิ้นลงไปแล้วค่ะ
แต่ว่า... คาเมอิจังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ มันก็ช่วยไม่ได้ที่เจ้าตัวจะจบการศึกษาล่ะนะ ส่วนตัวฉันเองมีปัญหาเพียงเพราะบทความเพียงอย่างเดียว ถ้าต้องจบการศึกษาแล้วออกจากวงการบันเทิงด้วยเรื่องแบบนั้นก็คงไม่ดีอย่างแน่นอน
เพลงใหม่ที่ฉันได้รับตำแหน่งอันดับ 4 จากการเลือกตั้งด้วยพลังของแฟนๆ ทุกคนก็ยังไม่ออกวางจำหน่าย แถมตัวฉันก็ยังไม่ได้ดูตัวเองร้องเพลงในตำแหน่งที่ได้อันดับ 4 เลย
ถ้าหากเป็นตัวฉันเอง ฉันอยากดูนะ
ถ้าหากเป็นตัวฉันเอง ฉันก็ยังอยากอยู่ในวงโดยที่ไม่ต้องลาออก
ดังนั้นในวันต่อมา ฉันจึงได้บอกอาจารย์อาคิโมโตะไปว่า
“ไม่ว่ายังไงฉันก็ยังอยากพยายามต่อไปด้วย AKB48 ค่ะ”
ได้ย้ายไปอยู่วง HKT48 แบบกะทันหัน
หลังจากที่ได้ปกปิดเรื่องนิตยสารที่จะลงตีพิมพ์บทความในวันพฤหัสบดีเอาไว้ ฉันก็ทำกิจกรรมในวงต่อไปเช่นปกติ
แต่ในคืนก่อนที่จะถึงวันนั้น มี่จัง (มิเนกิชิ มินามิ) และทาคามินะซัง (ทาคาฮาชิ มินามิ) ก็ได้ชวนฉันออกมาทานข้าว เพราะดูเหมือนจะรู้ว่าฉันทำตัวแปลกๆ ไป
พวกเราได้พูดคุยถึงเรื่องบทความนั่น และก็ได้เปิดชุมนุมให้กำลังใจด้วยการร้องเพลงคาราโอเกะ ฉันได้ร้องเพลงที่เต็มไปด้วยเนื้อหาให้กำลังใจอย่าง “Makenaide” (อย่ายอมแพ้) ถึง 3 ชั่วโมงด้วยกัน AKB48 วิเศษอย่างที่คิดไว้เลย อยากอยู่ที่นี่ต่อจังเลย...
และในวันศุกร์ของสัปดาห์นั้น ฉันก็ได้มาออกรายการสด “All Night Nippon” ซึ่งแต่เดิมคุณอาคิโมโตะมีกำหนดการมาออกรายการนี้อยู่แล้ว แต่ฉันก็ได้รับเชิญมาออกรายการนี้ด้วย
ในตอนช่วงต้นรายการ ฉันได้กล่าวขอโทษแฟนๆ ทุกคนที่ทำให้เป็นห่วงจากปากของตนเอง หลังจากที่ได้พูดเรื่องนั้นไปแล้ว คุณอาคิโมโตะก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เธอคือ ซาชิฮาระ ริโนะ แห่งวง HKT48”
...ฉันไม่เข้าใจความหมายของเขาเลยค่ะ
วงน้องสาวของ AKB48 ถ้าเฉพาะในประเทศก็มีอยู่ด้วยกัน 3 วง (ข้อมูล ณ ตอนที่ซัซชี่เขียนหนังสือนะ ปัจจุบันมีอยู่ถึง 5 วง แล้วนะจ๊ะ ^^” ) ได้แก่ SKE48 ซึ่งมีที่ตั้งเธียเตอร์อยู่ในย่านซาคาเอะ เมืองนาโกย่า (เริ่มกิจกรรมทางวงเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2008), NMB48 ซึ่งมีที่ตั้งเธียเตอร์อยู่ในย่านนัมบะ กรุงโอซาก้า (เริ่มกิจกรรมทางวงเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2010) และ HKT48 ซึ่งมีที่ตั้งเธียเตอร์อยู่ในย่านฮากาตะ จังหวัดฟุกุโอกะ (เริ่มกิจกรรมทางวงเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2011)
ท่ามกลางในกลุ่ม 48 Group วง HKT48 ที่เป็นวง “น้องเล็กสุด” ในเวลานั้น ยังมีเพียงแค่สมาชิกรุ่นที่ 1 และยังไม่ได้ออกซิงเกิ้ลเดบิ้วท์เลย เนื่องจากความสัมพันธ์กับทางวง AKB48 มีอยู่ค่อนข้างน้อย เลยไม่รู้ชื่อสมาชิกแต่ละคนจริงๆ ไม่เพียงแค่ตัวฉันเองเท่านั้น แต่คิดว่าทั้งสมาชิกคนอื่นๆ และทั้งทางฝั่งแฟนๆ เองก็ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เช่นกันค่ะ
และฉันก็ได้ถูกกำหนดให้ย้ายวงเพื่อไปเป็นพี่สาวคนโตสุดในวงนั้น แม้ว่าตอนนั้นจะมีอายุเพียง 19 ปี ก็ตาม
คุณอาคิโมโตะบอกกับฉันว่า “ช่วยอุทิศตนเพื่อส่วนรวมด้วยนะ” ตัวฉันได้ทำผิดกฎของ 48 Group ไปแล้ว ถ้าหากว่าได้ทำอะไรแล้วทุกคนที่เป็นแฟนๆ ของ 48 Group ยกโทษให้ ก็ต้องอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ย้ายไปอยู่สังกัดวง HKT48 ที่เพิ่งเริ่มทำกิจกรรม แล้วไปสร้างสีสันให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น หากทำให้ทั่วทั้ง 48 Group มีสีสันมากขึ้นด้วยการทำสิ่งเหล่านั้น ก็จะกลายเป็น “การอุทิศตน” ขั้นสูงสุดค่ะ
“แม้จะใช้ชีวิตตามปกติตลอด 1 ปี ทั้งๆ ที่ได้ครองตำแหน่งอันดับ 4 แต่หลังจากนี้ ความนิยมในตัวซาชิฮาระก็จะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว แม้จะได้พยายามต่อไปด้วยการย้ายไปอยู่วง HKT48 ก็คิดว่าชีวิตหลังจากนี้คงจะไม่มีความสนุกแล้ว”
บางที สถานการณ์ของฉันในตอนนี้คงจะไม่ใช่วิกฤต แต่อาจกลายเป็นโอกาส ไม่สิ ตอนนี้ฉันทำได้เพียงแค่คิดว่ามันเป็นโอกาสเท่านั้น
เปลี่ยนทัศนคติ
หลังจากที่ได้เข้านอนแล้วตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ความรู้สึกทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง
แม้จะถูกเข้าใจผิดก็ตาม แต่ก็ไม่ต้องมานั่งทบทวนตนเองแล้วกลับมาร่าเริงได้ไวมาก การหาเรื่องดีๆ จนพบเป็นเรื่องที่ฉันถนัดค่ะ
ถ้าหากค้นหาสิ่งที่ตั้งใจทำอย่างเต็มที่จนพบ ฉันคิดว่าจะได้พบกับเรื่องดีๆ ที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน
ตอนที่ฉันได้ย้ายมาอยู่วง HKT48 ในช่วงแรกๆ ฉันรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจมากเลยค่ะ
เพราะ AKB48 มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์แบบต่อเนื่อง จึงต้องเตรียมใจเอาไว้ให้ดี ถึงแม้จะไม่ชอบขนาดไหนก็ตาม แต่เรื่องที่ตกลงกันแล้วก็เป็นสิ่งที่ตกลงกันแล้ว ดังนั้น เวลาที่จะมาคิดเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก มาลองหาเรื่องดีๆ กันดีกว่านะคะ
“ฮากาตะมีของอร่อยๆ เพียบเลยนะ” “จะได้คะแนนสะสมไมล์ของสายการบินมาเพียบเลยนะ” “พวกคุณแม่ที่โออิตะจะได้เดินทางมาดูการแสดงด้วยนะ”
ฉันจินตนาการความคิดไว้แบบนั้นค่ะ
“ฉันจะมีโอกาสได้พบและได้รับการกระตุ้นให้ตัวเองได้เติบโตมากกว่าตอนที่อยู่ในวง AKB48 หรือเปล่านะ?”
ฉันคิดว่ามีโอกาสแน่นอนค่ะ
ถ้าได้เปลี่ยนทัศนคติเมื่อตอนเจอวิกฤตแล้วเผชิญหน้า ก็จะค้นพบเรื่องดีๆ ได้ง่าย และคิดว่าจะทำเรื่องดีๆ ที่ค้นพบให้กลายเป็นจริงได้ง่ายยิ่งขึ้นนะคะ
ไม่ทิ้งความคิดในแง่ลบออกไป
หลังจากที่ย้ายมาอยู่วง HKT48 วันแรกที่จะได้ขึ้นแสดงในเธียเตอร์กับเมมเบอร์ทุกคนก็ได้ถูกกำหนดขึ้น วันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ.2012 เพราะว่ามีงานอื่นๆ อยู่ เวลาฝึกซ้อมจึงมีอยู่อย่างจำกัด
จนเมื่อใกล้ถึงวันแรกที่จะขึ้นแสดง ฉันได้บอกกับคุณผู้จัดการว่า “ฉันอยากจะจัดเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อทุ่มไปกับการซ้อมจนกว่าการแสดงจะจบลง ฉันไม่อยากต้องมาแถลงข่าวว่า “ฉันรู้สึกอย่างไร?” ค่ะ”
ฉันไม่อยากทำให้คำพูดที่ว่า “กำลังสำนึกตนเอง” ออกมาจากปาก ซึ่งแต่เดิมแล้ว การสำนึกตนเองเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาได้ยากและไม่ได้มองเห็นด้วยตา ฉันอยากถ่ายทอดออกมาว่า “ซาชิฮาระ ริโนะ จะพยายามในฐานะสมาชิกวง HKT48 กำลังพยายามอยู่ค่ะ!” ด้วยรูปแบบที่มองเห็นด้วยตามากกว่านี้ เพราะคิดว่าฉันสามารถพิสูจน์ตนเองได้บนเวทีการแสดงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะถูกถามในทำนองว่า “จากนี้จะถึงรอบแสดงจริงแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฉันก็ทำได้เพียงแค่บอกว่า “ฉันจะพยายามเพื่อให้ทุกคนยอมรับ” เท่านั้น ทำได้เพียงก้มหน้าพูดเท่านั้นค่ะ
สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการแสดงในวันแรก น่าจะเป็นทางฝั่งแฟนๆ ทุกคนมากกว่าตัวฉันที่มีสิ่งที่ควรจะทำอย่างชัดเจน และถ้าฉันยิ่งแสดงให้ทุกคนเห็นว่ามีอาการเศร้าซึม ไม่ร่าเริง ความกังวลของทุกคนก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
ถ้าหากมีการแถลงข่าวหลังจากที่การแสดงเสร็จสิ้นลง ฉันก็จะสามารถพูดโดยแหงนหน้าขึ้นมาได้ว่า “ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมากแล้วค่ะ จากนี้ฉันเองก็จะพยายามต่อไปนะคะ!” และสามารถทำให้ทุกคนได้เห็นว่าฉันสบายดีแล้ว
ฉันคิดว่าการพูดเรื่องลบๆ ต่อหน้าผู้คนมันดูไม่ค่อยดีค่ะ และถ้าหากตัวคุณเองทำบรรยากาศรอบข้างไปในทางแง่ลบแล้วล่ะก็ บรรยากาศเหล่านั้นก็จะย้อนกลับเข้าหาตนเองนะคะ
งดเข้าอินเตอร์เนตเมื่อยามที่รู้สึกว่ากำลังติดลบ
สิ่งที่คิดว่าจะทำให้ซาชิฮาระทำได้ดีในช่วงเวลานี้ก็คือ การงดเข้าอินเตอร์เนตโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าฉันไม่เข้าไปเว็บ 2ch และพวกเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ เลยค่ะ
ถ้าหากได้เข้าอินเตอร์เนตหลังจากที่บทความตีพิมพ์ออกมา ก็จะเกิดความรู้สึกในแง่ลบว่า “ตัวเองได้ทำเรื่องที่เลวร้ายลงไปแล้ว” และความร่าเริงก็จะมีแต่ลดลง
จนถึงตอนนี้ สิ่งที่น่าจะถูกเขียนขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเลวร้ายที่เกิดจากตัวฉัน ทุกคนก็น่าจะจินตนาการออกได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากไม่ได้เข้าไปดูก็จะไม่รู้อะไรเลย
เมื่อรู้สึกเหนื่อยมาก ฉันจะหาคำพูดที่ทำให้รู้สึกแข็งแรงและมีความกล้าหาญ ฉันคิดว่าน่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ได้เห็นข่าวในอินเตอร์เนตแล้ว แต่ก็คิดว่าน่าจะมีคำพูดที่มีเจตนาร้ายในยามที่รู้สึกเหนื่อยมากสะท้อนออกมาอยู่ ถ้าหากได้เห็นเรื่องลบๆ ในยามที่รู้สึกลบๆ ความรู้สึกในแง่ลบก็มีแต่จะบานปลายยิ่งขึ้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่เข้าอินเตอร์เนตอย่างเด็ดขาด และก็ไม่ได้เข้าไปดูเลยแม้แต่ครั้งเดียวจริงๆ นะคะ
ฉันคิดว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นถูกต้องและเหมาะสมแล้วค่ะ
เพราะทุกคนให้การยอมรับ
ม่านการแสดงเธียเตอร์ในวันแรกได้ปิดลงแล้ว
สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของฉันในวันนั้น มีแค่ความสนุกและความตั้งใจเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกในด้านลบเลยแม้แต่น้อย
บอกตามตรง หลังจากที่ได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่วง HKT48 ฉันก็จำได้แต่เรื่องที่น่าดีใจทั้งนั้นเลยค่ะ
ในช่วงแรกสุดนั้นก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย เหล่าสมาชิกวง HKT48 เองก็รู้สึกหวั่นวิตกไปไม่ใช่น้อย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่การที่อยู่ๆ ก็มีรุ่นพี่เข้ามาอยู่ในวงที่มีแต่รุ่นเดียวกันจนถึงตอนนี้ พอได้คิดแล้วก็รู้สึกตกใจเช่นกันนะคะ
ต่อให้ตัวฉันเองคิดว่าไม่เป็นไรหรอกนะ แต่พอมี่จังบอกว่า “พอดูเหล่าบรรดาสมาชิกวง HKT48 แล้ว ก็น่าจะให้ความรู้สึกประมาณรุ่นพี่ (ชิโนดะ) มาริโกะล่ะมั้งนะ” ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่จริงๆ แล้วฉันก็มีเรื่องกังวลใจอยู่มากมายเลยล่ะค่ะ
อย่างไรก็ตาม เหล่าสมาชิกวง HKT48 ทุกคนก็เป็นเด็กที่อายุยังน้อย มองโลกในแง่ดี สดใส ร่าเริง และบริสุทธิ์ด้วยนะคะ อีกทั้งพวกเขายังต้อนรับฉันด้วยความรู้สึกราวกับเป็น “เด็กนักเรียนที่ย้ายมาจากโตเกียว” แถมยังแสดงออกให้เห็นว่าอยากทำความรู้จักตัวฉันให้มากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากเป็นวงน้องสาววงอื่นๆ ก็คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่ๆ
ต้องขอขอบคุณชาวคิวชูทุกคนที่ให้การยอมรับฉัน ในวันที่ได้ทำการแสดงวันแรก ก็มีอยู่หลายคนเลยที่ส่งเสียงออกมาว่า “ยินดีต้อนรับ” บ้าง หรือ “กลับมาแล้วหรอ” บ้าง เพราะว่าฉันมีบ้านเกิดอยู่ที่โออิตะ จึงคิดว่าอาจจะมีคำพูดที่ว่า “ยินดีต้อนรับ” อยู่บ้าง แต่คำพูดที่ว่า “กลับมาแล้วหรอ” นี่เป็นคำพูดที่สดใหม่มาก รู้สึกดีใจมากค่ะ
หลังจากที่จบการแสดงในวันแรก ฉันก็ได้เริ่มงานของสถานีโทรทัศน์ในจังหวัดฟุกุโอกะ แต่ทุกคนก็ใจดีกับฉันจริงๆ ค่ะ
เพราะการที่ทุกคนให้การยอมรับฉันนี่แหละ ฉันก็เลยมีความกล้าเพิ่มขึ้นและมีความรู้สึกเป็นธรรมชาติจน “อยากทำสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ในสถานที่แห่งนี้”
โอกาสสูงสุดที่เกิดขึ้นจากวิกฤตครั้งใหญ่
วันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.2013 ได้มีงานประกาศผลเลือกตั้งเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ย้ายวงมา
อันดับเป้าหมายของฉันคือ อันดับ 4 ถ้าหากสามารถรักษาอันดับในครั้งก่อนเอาไว้ได้ ก็คิดว่าน่าจะได้รับการยอมรับจากทุกคนแล้วล่ะนะ
และผลที่ได้ก็คือ...
อันดับ 1
คะแนนโหวต 150,570 คะแนน
ฉันตกใจมากจนแทบจะหยุดหายใจเลยค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น คะแนนที่ออกมาก็เยอะแบบมหาศาลด้วย
เสียงร้องอันตื่นตระหนกและวิวทิวทัศน์ที่มองเห็นจากบนเวทีตอนที่ออกมาด้านหน้าเพื่อพูดสุนทรพจน์หลังจากที่ถูกเรียกชื่อในอันดับที่ 1 ฉันยังคงจำได้จนถึงตอนนี้เลยล่ะค่ะ
เสียงร้องส่วนใหญ่ที่ตื่นตระหนกต่างก็กรีดร้องโวยวายว่า “ทำไมถึงเป็นซาชิฮาระล่ะ!” ซึ่งก็มีคนจำนวนราว 70,000 คน ที่เกิดอาการสั่นไหวเพราะเด็กผู้หญิงที่ไม่น่ารักวัย 20 ปีคนนี้
ตอน ม.3 ฉันได้กลายมาเป็นไอดอลเพื่อหลบหนีออกจากเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยตนเอง ในตอนนั้น ฉันไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้
ฉันรู้สึกว่าแต่ละคะแนนเป็นเสียงที่มาจากการสนับสนุนของทุกคน และคิดว่าฉันได้รับโอกาสที่จะ “ได้ลองพยายามอีกครั้ง!” แล้วค่ะ
มีผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาบอกตอนงานจับมือว่า “ฉันจะลงคะแนนให้ 1 คะแนน เพราะรู้ว่าซัซชี่กำลังพยายามเพื่อวง HKT48 อยู่นะ” เพื่อพวกเขาเหล่านั้น ฉันเลยต้อง “อุทิศตน” เพื่อ HKT48 ให้มากยิ่งขึ้น เพราะอยากให้ 48 Group มีสีสันมากขึ้นจากการมาของฮากาตะ
การได้อันดับ 1 มาครอง ทำให้ฉันกลับมารู้สึกแบบนั้นจากใจได้อีกครั้งค่ะ
แข็งแกร่งขึ้นแล้ว
หัวใจของฉันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่ได้ย้ายมาอยู่วง HKT48
หรือจะบอกว่าจำต้องเข้มแข็งขึ้นมากกว่าก็ได้นะคะ
ภายในวง HKT48 ฉันเป็นคนที่อายุมากสุด เพราะว่าเป็นรุ่นพี่ จึงต้องคอยดึงทุกคนให้มีตัวตนอยู่ และคิดว่าถ้าตัวฉันไม่พยายาม ทั้งกรุ๊ปก็จะไม่สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคง
ในฐานะไอดอลนี่เป็นสิ่งที่เป็นข้อเสียเปรียบค่ะ เมมเบอร์ที่ดูพึ่งพาไม่ได้ก็จะมองเห็นแต่ความน่ารัก ส่วนเมมเบอร์ที่มองเห็นจุดอ่อนของตนเองก็จะทำให้รู้สึกอยากจะเอาใจช่วยใช่ไหมคะ? เพราะว่าฉันมีชื่อเสียงมาจากการเป็น “ยัยกาก” จึงเข้าใจความรู้สึกนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่จุดอ่อนในข้อนี้ ฉันคงไม่สามารถแสดงออกมาได้อีกแล้ว ฉันไม่ได้เป็นยัยกากแล้ว นับจากนี้ไป ฉันจะต้องใช้ชีวิตในฐานะบุคคลผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
และคิดว่าน่าจะดีนะถ้าจากนี้ไปจะสามารถทำให้ทุกคนสนุกได้ด้วยความแข็งแกร่งที่มีอยู่ค่ะ
การตัดสินเลือกสมาชิกเซมบัตสึใน CD ซิงเกิ้ลต่อไปด้วยคะแนนโหวตจากแฟนๆ เหล่าสมาชิกในกลุ่มไอดอลจึงต้องทำให้ตนเองติดอันดับโดยการสร้างความนิยม ฉันคิดว่าจนถึงตอนนี้ทั้งเหล่าสมาชิกและแฟนๆ เองต่างก็ยอมรับจนรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาแล้ว แต่ในงานเลือกตั้ง “Senbatsu Sousenkyo” ที่จัดขึ้นปีละ 1 ครั้ง มาตั้งแต่ปี 2009 มันโหดร้ายมากค่ะ คุณอาคิโมโตะ คุณเป็นคนที่ฉันรู้สึกคาดไม่ถึงเกินไปแล้วนะคะ
ด้วยแรงสนับสนุนจากทุกคน จึงทำให้ผลการเลือกตั้งของฉันตั้งแต่ครั้งแรกมีอันดับที่ดีขึ้นมาเรื่อยๆ ฉันรู้สึกอยากขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ
ปี 2009 ได้อันดับที่ 27, ปี 2010 ได้อันดับที่ 19 และปี 2011 ได้อันดับที่ 9...
ในตอนแรกสุด แม้ว่าจะได้ออก PV แต่ก็เป็นสถานการณ์ที่ต้องคอย “ค้นหาซาชิฮาระ!” เพราะได้รับแอร์ไทม์เพียงประมาณ 2.5 วินาที แต่พอผลอันดับในการเลือกตั้งดีขึ้น ก็ได้รับแอร์ไทม์ไปมากกว่า 1 นาทีเลยค่ะ
และในปี 2012 ผลการเลือกตั้งครั้งที่ 4 ฉันก็ได้อันดับที่ 4 มาครองด้วยคะแนนทั้งหมด 67,339 คะแนน ฉันรู้สึกไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เลยนะคะ
สำหรับงานประกาศผลคะแนนการเลือกตั้งครั้งที่ 4 นั้น ได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน
แต่หลังจากนั้นอีก 10 วัน ฉันก็ได้ย้ายมาอยู่วง HKT48 แล้ว
ดังนั้น ในบทนี้ ฉันจะมาเล่าถึงเรื่องราวอันเป็นวิกฤตครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตจนถึงตอนนี้ค่ะ
ตั้งใจที่จะลาออกจาก AKB48
วันที่ฉันได้รับการติดต่อเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวฉันเองได้ถูกลงสื่อในนิตยสารรายสัปดาห์เจ้าหนึ่ง ตรงกับวันจันทร์ที่มีการถ่ายทอดสดรายการ “Waratte ii tomo!”
ใน 48 Group จะมีกฎที่ว่า “ห้ามมีความรัก” อยู่ค่ะ
และเรื่องที่ถูกตีพิมพ์ก็คือเรื่องที่ฉันได้แหกกฎข้อนี้ในสมัยที่ยังเป็นเคงคิวเซย์นั่นเอง...
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้มืดสนิทลงแล้ว
เย็นวันนั้น เป็นทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศของ AKB48 โดยเป็นคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นในจังหวัดจิบะ แน่นอนว่าฉันไม่สามารถหยุดพักได้ ถึงแม้ว่าฉันจะทำการแสดงอย่างเต็มที่ แต่น้ำตาก็ไหลไม่หยุดเลยค่ะ ทุกๆ คนที่อยู่ในคอนเสิร์ตวันนั้นก็ยังคิดเลยว่าฉันคงไม่ได้ยืนอยู่บนเวทีด้วยกันแล้ว
สำหรับเรื่องการแหกกฎนั้น ในกรณีที่ค้นพบหลักฐานที่ชัดเจน ทางฝ่ายบริหารก็จะให้เราได้ตัดสินใจเพื่อหาทางออก
ลงโทษพักงาน, ลดขั้นลงไปเป็นเคงคิวเซย์, ลาออกจากวง
ตัวฉันเองก็เคยคิดว่าจะลาออกจากวง AKB48 และคิดว่าต้องขอโทษแฟนๆ จำนวนมากที่ให้การสนับสนุนวง AKB48 ด้วย เพราะว่าฉันไม่อยากรบกวนเพื่อนๆ สมาชิกในวงค่ะ และฉันก็ได้ถ่ายทอดความรู้สึกนี้ให้คุณอาคิโมโตะได้รับทราบด้วย
“เข้าใจแล้วครับ เพราะจะได้เหลือแค่คนที่คิดว่าอยากจะฝ่าฟันต่อความยากลำบากในวงการบันเทิงแบบจริงจังเท่านั้นยังไงล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้นแล้ว ฉันจึงสามารถหยุดความคิดจินตนาการที่ไปในทางด้านลบได้อย่างสิ้นเชิง และกลายเป็นความรู้สึกจากทั่วทุกสารทิศที่อยู่ด้วยแฟนๆ ที่เป็นมนุษย์คล้ายกับฉัน มากกว่าที่จะพูดว่าความรู้สึกของแฟนๆ จำนวนมากที่ให้การสนับสนุน AKB48 และตัวเองก็ได้ลองคิดถึงความหมายของคำว่าเซมบัตสึที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ค่ะ
เมื่อบทความถูกตีพิมพ์ออกมา แน่นอนว่าทางด้านแฟนๆ ต่างก็รู้สึกเป็นห่วงเรื่องของฉัน และถ้าหากจู่ๆ ตัวฉันเองได้ประกาศจบการศึกษาจาก AKB48 แล้วออกจากวงการบันเทิงด้วยเรื่องแบบนั้น ก็คงจะไม่เศร้าไปมากกว่านี้
และแล้วเรื่องของคาเมอิ เอริจัง ก็ได้แวบเข้ามาในหัว ตัวฉันเองชื่นชอบคาเมอิจังมากๆ แต่เจ้าตัวก็ได้ตัดสินใจออกจากวง Morning Musume ไปแบบกะทันหัน (เมื่อเดือนธันวาคม 2010) และยังได้ตัดสินใจออกจากวงการบันเทิงไปพร้อมกันด้วย
ตอนนั้นฉันรู้สึกช็อค ราวกับว่าชีวิตของฉันได้จบสิ้นลงไปแล้วค่ะ
แต่ว่า... คาเมอิจังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ มันก็ช่วยไม่ได้ที่เจ้าตัวจะจบการศึกษาล่ะนะ ส่วนตัวฉันเองมีปัญหาเพียงเพราะบทความเพียงอย่างเดียว ถ้าต้องจบการศึกษาแล้วออกจากวงการบันเทิงด้วยเรื่องแบบนั้นก็คงไม่ดีอย่างแน่นอน
เพลงใหม่ที่ฉันได้รับตำแหน่งอันดับ 4 จากการเลือกตั้งด้วยพลังของแฟนๆ ทุกคนก็ยังไม่ออกวางจำหน่าย แถมตัวฉันก็ยังไม่ได้ดูตัวเองร้องเพลงในตำแหน่งที่ได้อันดับ 4 เลย
ถ้าหากเป็นตัวฉันเอง ฉันอยากดูนะ
ถ้าหากเป็นตัวฉันเอง ฉันก็ยังอยากอยู่ในวงโดยที่ไม่ต้องลาออก
ดังนั้นในวันต่อมา ฉันจึงได้บอกอาจารย์อาคิโมโตะไปว่า
“ไม่ว่ายังไงฉันก็ยังอยากพยายามต่อไปด้วย AKB48 ค่ะ”
ได้ย้ายไปอยู่วง HKT48 แบบกะทันหัน
หลังจากที่ได้ปกปิดเรื่องนิตยสารที่จะลงตีพิมพ์บทความในวันพฤหัสบดีเอาไว้ ฉันก็ทำกิจกรรมในวงต่อไปเช่นปกติ
แต่ในคืนก่อนที่จะถึงวันนั้น มี่จัง (มิเนกิชิ มินามิ) และทาคามินะซัง (ทาคาฮาชิ มินามิ) ก็ได้ชวนฉันออกมาทานข้าว เพราะดูเหมือนจะรู้ว่าฉันทำตัวแปลกๆ ไป
พวกเราได้พูดคุยถึงเรื่องบทความนั่น และก็ได้เปิดชุมนุมให้กำลังใจด้วยการร้องเพลงคาราโอเกะ ฉันได้ร้องเพลงที่เต็มไปด้วยเนื้อหาให้กำลังใจอย่าง “Makenaide” (อย่ายอมแพ้) ถึง 3 ชั่วโมงด้วยกัน AKB48 วิเศษอย่างที่คิดไว้เลย อยากอยู่ที่นี่ต่อจังเลย...
และในวันศุกร์ของสัปดาห์นั้น ฉันก็ได้มาออกรายการสด “All Night Nippon” ซึ่งแต่เดิมคุณอาคิโมโตะมีกำหนดการมาออกรายการนี้อยู่แล้ว แต่ฉันก็ได้รับเชิญมาออกรายการนี้ด้วย
ในตอนช่วงต้นรายการ ฉันได้กล่าวขอโทษแฟนๆ ทุกคนที่ทำให้เป็นห่วงจากปากของตนเอง หลังจากที่ได้พูดเรื่องนั้นไปแล้ว คุณอาคิโมโตะก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เธอคือ ซาชิฮาระ ริโนะ แห่งวง HKT48”
...ฉันไม่เข้าใจความหมายของเขาเลยค่ะ
วงน้องสาวของ AKB48 ถ้าเฉพาะในประเทศก็มีอยู่ด้วยกัน 3 วง (ข้อมูล ณ ตอนที่ซัซชี่เขียนหนังสือนะ ปัจจุบันมีอยู่ถึง 5 วง แล้วนะจ๊ะ ^^” ) ได้แก่ SKE48 ซึ่งมีที่ตั้งเธียเตอร์อยู่ในย่านซาคาเอะ เมืองนาโกย่า (เริ่มกิจกรรมทางวงเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2008), NMB48 ซึ่งมีที่ตั้งเธียเตอร์อยู่ในย่านนัมบะ กรุงโอซาก้า (เริ่มกิจกรรมทางวงเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2010) และ HKT48 ซึ่งมีที่ตั้งเธียเตอร์อยู่ในย่านฮากาตะ จังหวัดฟุกุโอกะ (เริ่มกิจกรรมทางวงเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2011)
ท่ามกลางในกลุ่ม 48 Group วง HKT48 ที่เป็นวง “น้องเล็กสุด” ในเวลานั้น ยังมีเพียงแค่สมาชิกรุ่นที่ 1 และยังไม่ได้ออกซิงเกิ้ลเดบิ้วท์เลย เนื่องจากความสัมพันธ์กับทางวง AKB48 มีอยู่ค่อนข้างน้อย เลยไม่รู้ชื่อสมาชิกแต่ละคนจริงๆ ไม่เพียงแค่ตัวฉันเองเท่านั้น แต่คิดว่าทั้งสมาชิกคนอื่นๆ และทั้งทางฝั่งแฟนๆ เองก็ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เช่นกันค่ะ
และฉันก็ได้ถูกกำหนดให้ย้ายวงเพื่อไปเป็นพี่สาวคนโตสุดในวงนั้น แม้ว่าตอนนั้นจะมีอายุเพียง 19 ปี ก็ตาม
คุณอาคิโมโตะบอกกับฉันว่า “ช่วยอุทิศตนเพื่อส่วนรวมด้วยนะ” ตัวฉันได้ทำผิดกฎของ 48 Group ไปแล้ว ถ้าหากว่าได้ทำอะไรแล้วทุกคนที่เป็นแฟนๆ ของ 48 Group ยกโทษให้ ก็ต้องอุทิศตนเพื่อส่วนรวม ย้ายไปอยู่สังกัดวง HKT48 ที่เพิ่งเริ่มทำกิจกรรม แล้วไปสร้างสีสันให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น หากทำให้ทั่วทั้ง 48 Group มีสีสันมากขึ้นด้วยการทำสิ่งเหล่านั้น ก็จะกลายเป็น “การอุทิศตน” ขั้นสูงสุดค่ะ
“แม้จะใช้ชีวิตตามปกติตลอด 1 ปี ทั้งๆ ที่ได้ครองตำแหน่งอันดับ 4 แต่หลังจากนี้ ความนิยมในตัวซาชิฮาระก็จะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว แม้จะได้พยายามต่อไปด้วยการย้ายไปอยู่วง HKT48 ก็คิดว่าชีวิตหลังจากนี้คงจะไม่มีความสนุกแล้ว”
บางที สถานการณ์ของฉันในตอนนี้คงจะไม่ใช่วิกฤต แต่อาจกลายเป็นโอกาส ไม่สิ ตอนนี้ฉันทำได้เพียงแค่คิดว่ามันเป็นโอกาสเท่านั้น
เปลี่ยนทัศนคติ
หลังจากที่ได้เข้านอนแล้วตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ความรู้สึกทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง
แม้จะถูกเข้าใจผิดก็ตาม แต่ก็ไม่ต้องมานั่งทบทวนตนเองแล้วกลับมาร่าเริงได้ไวมาก การหาเรื่องดีๆ จนพบเป็นเรื่องที่ฉันถนัดค่ะ
ถ้าหากค้นหาสิ่งที่ตั้งใจทำอย่างเต็มที่จนพบ ฉันคิดว่าจะได้พบกับเรื่องดีๆ ที่ไหนสักแห่งอย่างแน่นอน
ตอนที่ฉันได้ย้ายมาอยู่วง HKT48 ในช่วงแรกๆ ฉันรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจมากเลยค่ะ
เพราะ AKB48 มีเรื่องให้เซอร์ไพรส์แบบต่อเนื่อง จึงต้องเตรียมใจเอาไว้ให้ดี ถึงแม้จะไม่ชอบขนาดไหนก็ตาม แต่เรื่องที่ตกลงกันแล้วก็เป็นสิ่งที่ตกลงกันแล้ว ดังนั้น เวลาที่จะมาคิดเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบจึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก มาลองหาเรื่องดีๆ กันดีกว่านะคะ
“ฮากาตะมีของอร่อยๆ เพียบเลยนะ” “จะได้คะแนนสะสมไมล์ของสายการบินมาเพียบเลยนะ” “พวกคุณแม่ที่โออิตะจะได้เดินทางมาดูการแสดงด้วยนะ”
ฉันจินตนาการความคิดไว้แบบนั้นค่ะ
“ฉันจะมีโอกาสได้พบและได้รับการกระตุ้นให้ตัวเองได้เติบโตมากกว่าตอนที่อยู่ในวง AKB48 หรือเปล่านะ?”
ฉันคิดว่ามีโอกาสแน่นอนค่ะ
ถ้าได้เปลี่ยนทัศนคติเมื่อตอนเจอวิกฤตแล้วเผชิญหน้า ก็จะค้นพบเรื่องดีๆ ได้ง่าย และคิดว่าจะทำเรื่องดีๆ ที่ค้นพบให้กลายเป็นจริงได้ง่ายยิ่งขึ้นนะคะ
ไม่ทิ้งความคิดในแง่ลบออกไป
หลังจากที่ย้ายมาอยู่วง HKT48 วันแรกที่จะได้ขึ้นแสดงในเธียเตอร์กับเมมเบอร์ทุกคนก็ได้ถูกกำหนดขึ้น วันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ.2012 เพราะว่ามีงานอื่นๆ อยู่ เวลาฝึกซ้อมจึงมีอยู่อย่างจำกัด
จนเมื่อใกล้ถึงวันแรกที่จะขึ้นแสดง ฉันได้บอกกับคุณผู้จัดการว่า “ฉันอยากจะจัดเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่เพื่อทุ่มไปกับการซ้อมจนกว่าการแสดงจะจบลง ฉันไม่อยากต้องมาแถลงข่าวว่า “ฉันรู้สึกอย่างไร?” ค่ะ”
ฉันไม่อยากทำให้คำพูดที่ว่า “กำลังสำนึกตนเอง” ออกมาจากปาก ซึ่งแต่เดิมแล้ว การสำนึกตนเองเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาได้ยากและไม่ได้มองเห็นด้วยตา ฉันอยากถ่ายทอดออกมาว่า “ซาชิฮาระ ริโนะ จะพยายามในฐานะสมาชิกวง HKT48 กำลังพยายามอยู่ค่ะ!” ด้วยรูปแบบที่มองเห็นด้วยตามากกว่านี้ เพราะคิดว่าฉันสามารถพิสูจน์ตนเองได้บนเวทีการแสดงเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น แม้จะถูกถามในทำนองว่า “จากนี้จะถึงรอบแสดงจริงแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง?” ฉันก็ทำได้เพียงแค่บอกว่า “ฉันจะพยายามเพื่อให้ทุกคนยอมรับ” เท่านั้น ทำได้เพียงก้มหน้าพูดเท่านั้นค่ะ
สิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการแสดงในวันแรก น่าจะเป็นทางฝั่งแฟนๆ ทุกคนมากกว่าตัวฉันที่มีสิ่งที่ควรจะทำอย่างชัดเจน และถ้าฉันยิ่งแสดงให้ทุกคนเห็นว่ามีอาการเศร้าซึม ไม่ร่าเริง ความกังวลของทุกคนก็จะเพิ่มมากขึ้นด้วย
ถ้าหากมีการแถลงข่าวหลังจากที่การแสดงเสร็จสิ้นลง ฉันก็จะสามารถพูดโดยแหงนหน้าขึ้นมาได้ว่า “ฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมากแล้วค่ะ จากนี้ฉันเองก็จะพยายามต่อไปนะคะ!” และสามารถทำให้ทุกคนได้เห็นว่าฉันสบายดีแล้ว
ฉันคิดว่าการพูดเรื่องลบๆ ต่อหน้าผู้คนมันดูไม่ค่อยดีค่ะ และถ้าหากตัวคุณเองทำบรรยากาศรอบข้างไปในทางแง่ลบแล้วล่ะก็ บรรยากาศเหล่านั้นก็จะย้อนกลับเข้าหาตนเองนะคะ
งดเข้าอินเตอร์เนตเมื่อยามที่รู้สึกว่ากำลังติดลบ
สิ่งที่คิดว่าจะทำให้ซาชิฮาระทำได้ดีในช่วงเวลานี้ก็คือ การงดเข้าอินเตอร์เนตโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าฉันไม่เข้าไปเว็บ 2ch และพวกเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ เลยค่ะ
ถ้าหากได้เข้าอินเตอร์เนตหลังจากที่บทความตีพิมพ์ออกมา ก็จะเกิดความรู้สึกในแง่ลบว่า “ตัวเองได้ทำเรื่องที่เลวร้ายลงไปแล้ว” และความร่าเริงก็จะมีแต่ลดลง
จนถึงตอนนี้ สิ่งที่น่าจะถูกเขียนขึ้นเกี่ยวกับเรื่องเลวร้ายที่เกิดจากตัวฉัน ทุกคนก็น่าจะจินตนาการออกได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากไม่ได้เข้าไปดูก็จะไม่รู้อะไรเลย
เมื่อรู้สึกเหนื่อยมาก ฉันจะหาคำพูดที่ทำให้รู้สึกแข็งแรงและมีความกล้าหาญ ฉันคิดว่าน่าจะมีผู้คนจำนวนมากที่ได้เห็นข่าวในอินเตอร์เนตแล้ว แต่ก็คิดว่าน่าจะมีคำพูดที่มีเจตนาร้ายในยามที่รู้สึกเหนื่อยมากสะท้อนออกมาอยู่ ถ้าหากได้เห็นเรื่องลบๆ ในยามที่รู้สึกลบๆ ความรู้สึกในแง่ลบก็มีแต่จะบานปลายยิ่งขึ้นเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่เข้าอินเตอร์เนตอย่างเด็ดขาด และก็ไม่ได้เข้าไปดูเลยแม้แต่ครั้งเดียวจริงๆ นะคะ
ฉันคิดว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นถูกต้องและเหมาะสมแล้วค่ะ
เพราะทุกคนให้การยอมรับ
ม่านการแสดงเธียเตอร์ในวันแรกได้ปิดลงแล้ว
สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจของฉันในวันนั้น มีแค่ความสนุกและความตั้งใจเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกในด้านลบเลยแม้แต่น้อย
บอกตามตรง หลังจากที่ได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่วง HKT48 ฉันก็จำได้แต่เรื่องที่น่าดีใจทั้งนั้นเลยค่ะ
ในช่วงแรกสุดนั้นก็เป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย เหล่าสมาชิกวง HKT48 เองก็รู้สึกหวั่นวิตกไปไม่ใช่น้อย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว แต่การที่อยู่ๆ ก็มีรุ่นพี่เข้ามาอยู่ในวงที่มีแต่รุ่นเดียวกันจนถึงตอนนี้ พอได้คิดแล้วก็รู้สึกตกใจเช่นกันนะคะ
ต่อให้ตัวฉันเองคิดว่าไม่เป็นไรหรอกนะ แต่พอมี่จังบอกว่า “พอดูเหล่าบรรดาสมาชิกวง HKT48 แล้ว ก็น่าจะให้ความรู้สึกประมาณรุ่นพี่ (ชิโนดะ) มาริโกะล่ะมั้งนะ” ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นแน่นอน แต่จริงๆ แล้วฉันก็มีเรื่องกังวลใจอยู่มากมายเลยล่ะค่ะ
อย่างไรก็ตาม เหล่าสมาชิกวง HKT48 ทุกคนก็เป็นเด็กที่อายุยังน้อย มองโลกในแง่ดี สดใส ร่าเริง และบริสุทธิ์ด้วยนะคะ อีกทั้งพวกเขายังต้อนรับฉันด้วยความรู้สึกราวกับเป็น “เด็กนักเรียนที่ย้ายมาจากโตเกียว” แถมยังแสดงออกให้เห็นว่าอยากทำความรู้จักตัวฉันให้มากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากเป็นวงน้องสาววงอื่นๆ ก็คงจะไม่เป็นแบบนี้แน่ๆ
ต้องขอขอบคุณชาวคิวชูทุกคนที่ให้การยอมรับฉัน ในวันที่ได้ทำการแสดงวันแรก ก็มีอยู่หลายคนเลยที่ส่งเสียงออกมาว่า “ยินดีต้อนรับ” บ้าง หรือ “กลับมาแล้วหรอ” บ้าง เพราะว่าฉันมีบ้านเกิดอยู่ที่โออิตะ จึงคิดว่าอาจจะมีคำพูดที่ว่า “ยินดีต้อนรับ” อยู่บ้าง แต่คำพูดที่ว่า “กลับมาแล้วหรอ” นี่เป็นคำพูดที่สดใหม่มาก รู้สึกดีใจมากค่ะ
หลังจากที่จบการแสดงในวันแรก ฉันก็ได้เริ่มงานของสถานีโทรทัศน์ในจังหวัดฟุกุโอกะ แต่ทุกคนก็ใจดีกับฉันจริงๆ ค่ะ
เพราะการที่ทุกคนให้การยอมรับฉันนี่แหละ ฉันก็เลยมีความกล้าเพิ่มขึ้นและมีความรู้สึกเป็นธรรมชาติจน “อยากทำสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ในสถานที่แห่งนี้”
โอกาสสูงสุดที่เกิดขึ้นจากวิกฤตครั้งใหญ่
วันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ.2013 ได้มีงานประกาศผลเลือกตั้งเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้ย้ายวงมา
อันดับเป้าหมายของฉันคือ อันดับ 4 ถ้าหากสามารถรักษาอันดับในครั้งก่อนเอาไว้ได้ ก็คิดว่าน่าจะได้รับการยอมรับจากทุกคนแล้วล่ะนะ
และผลที่ได้ก็คือ...
อันดับ 1
คะแนนโหวต 150,570 คะแนน
ฉันตกใจมากจนแทบจะหยุดหายใจเลยค่ะ ยิ่งไปกว่านั้น คะแนนที่ออกมาก็เยอะแบบมหาศาลด้วย
เสียงร้องอันตื่นตระหนกและวิวทิวทัศน์ที่มองเห็นจากบนเวทีตอนที่ออกมาด้านหน้าเพื่อพูดสุนทรพจน์หลังจากที่ถูกเรียกชื่อในอันดับที่ 1 ฉันยังคงจำได้จนถึงตอนนี้เลยล่ะค่ะ
เสียงร้องส่วนใหญ่ที่ตื่นตระหนกต่างก็กรีดร้องโวยวายว่า “ทำไมถึงเป็นซาชิฮาระล่ะ!” ซึ่งก็มีคนจำนวนราว 70,000 คน ที่เกิดอาการสั่นไหวเพราะเด็กผู้หญิงที่ไม่น่ารักวัย 20 ปีคนนี้
ตอน ม.3 ฉันได้กลายมาเป็นไอดอลเพื่อหลบหนีออกจากเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยตนเอง ในตอนนั้น ฉันไม่คิดเลยว่าสถานการณ์จะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้
ฉันรู้สึกว่าแต่ละคะแนนเป็นเสียงที่มาจากการสนับสนุนของทุกคน และคิดว่าฉันได้รับโอกาสที่จะ “ได้ลองพยายามอีกครั้ง!” แล้วค่ะ
มีผู้คนจำนวนมากที่เข้ามาบอกตอนงานจับมือว่า “ฉันจะลงคะแนนให้ 1 คะแนน เพราะรู้ว่าซัซชี่กำลังพยายามเพื่อวง HKT48 อยู่นะ” เพื่อพวกเขาเหล่านั้น ฉันเลยต้อง “อุทิศตน” เพื่อ HKT48 ให้มากยิ่งขึ้น เพราะอยากให้ 48 Group มีสีสันมากขึ้นจากการมาของฮากาตะ
การได้อันดับ 1 มาครอง ทำให้ฉันกลับมารู้สึกแบบนั้นจากใจได้อีกครั้งค่ะ
แข็งแกร่งขึ้นแล้ว
หัวใจของฉันแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่ได้ย้ายมาอยู่วง HKT48
หรือจะบอกว่าจำต้องเข้มแข็งขึ้นมากกว่าก็ได้นะคะ
ภายในวง HKT48 ฉันเป็นคนที่อายุมากสุด เพราะว่าเป็นรุ่นพี่ จึงต้องคอยดึงทุกคนให้มีตัวตนอยู่ และคิดว่าถ้าตัวฉันไม่พยายาม ทั้งกรุ๊ปก็จะไม่สามารถอยู่ได้อย่างมั่นคง
ในฐานะไอดอลนี่เป็นสิ่งที่เป็นข้อเสียเปรียบค่ะ เมมเบอร์ที่ดูพึ่งพาไม่ได้ก็จะมองเห็นแต่ความน่ารัก ส่วนเมมเบอร์ที่มองเห็นจุดอ่อนของตนเองก็จะทำให้รู้สึกอยากจะเอาใจช่วยใช่ไหมคะ? เพราะว่าฉันมีชื่อเสียงมาจากการเป็น “ยัยกาก” จึงเข้าใจความรู้สึกนี้ได้เป็นอย่างดี
แต่จุดอ่อนในข้อนี้ ฉันคงไม่สามารถแสดงออกมาได้อีกแล้ว ฉันไม่ได้เป็นยัยกากแล้ว นับจากนี้ไป ฉันจะต้องใช้ชีวิตในฐานะบุคคลผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
และคิดว่าน่าจะดีนะถ้าจากนี้ไปจะสามารถทำให้ทุกคนสนุกได้ด้วยความแข็งแกร่งที่มีอยู่ค่ะ