DiaryTravelJapan
Japan Trip 2015 : Ep02 ท่องราตรีที่ฮาโกดาเตะ
ย้อนความเดิมได้ที่
Japan Trip 2015 : Ep01 กว่าจะเดินทางถึงฮอกไกโดด้วยรถไฟนี่มันไม่ง่ายเลยนะ
คราวนี้จะมาเล่าถึงเรื่องราวหลังจากนั้นบ้างล่ะนะ ^^
------------------------------------------------------
หลังจากที่พวกนะได้เดินทางมาถึงที่ฮาโกดาเตะแล้ว ก็พากันลากกระเป๋าเดินทางเข้าที่พักกัน นั่นก็คือที่โรงแรม Seoul Garden Hakodate ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมาก
ด้วยความที่เดินทางตรากตรำมาหลายชั่วโมง ประกอบกับเจออากาศร้อนอบอ้าวจนเหงื่อออกต่างน้ำ หลังจากที่เช็คอินแล้ว เลยตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำ สระผม และแปรงฟันโดยทันที
...แต่เพียงแค่อาบน้ำและสระผมเสร็จ ยังไม่ทันจะได้แปรงฟัน จู่ๆ พี่ที่ไปด้วยกันก็เข้ามาบอกว่า ต้องออกไปทานข้าวเย็นกันแล้วนะ เพราะถ้าไม่ออกตอนนี้ ร้านอาหารจะปิดหมดแล้ว...
ร้านอาหารจะปิดหมดแล้ว...
ร้านอาหารจะปิดหมดแล้ว...
ร้านอาหารจะปิดหมดแล้ว...
ม่ายน้าาาาาา เค้าไม่ได้แปรงฟันมา 1 วันเต็มๆ แล้วน้าาาาา เก๊าอยากแปรงฟัน พลีสสสสสสส!! T_T
...แต่ก็ทำได้เพียงร้องออกมาในใจ แล้วรีบแต่งตัวออกไปหาอะไรทานโดยฉับพลัน orz
หลังจากที่เดินออกจากโรงแรม พวกเราต่างก็พากันดูคู่มือและลองเดินเซอร์เวย์หาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ กับที่พัก
แน่นอนว่า... เมื่อมาถึงฮาโกดาเตะทั้งที ก็ต้องมาทาน...
"ข้าวหน้าทะเล" หรือ "ไคเซนด้ง" (海鮮丼) สิจ๊ะ!! >w<
หลังจากที่เดินหาร้านมาได้พักใหญ่ๆ ในที่สุดก็ไปสะดุดอยู่ตรงหน้าร้าน "อะบุยะ" (あぶや) ร้านอิซากายะเล็กๆ ใกล้ๆ กับตลาดเช้าฮาโกดาเตะ หลังจากที่มองภาพเมนูหน้าร้านและราคากัน ก็ตัดสินใจเดินเข้าร้านทันที ^^
ภายในร้าน ก็มีเมนูอาหารให้เลือกหลากหลาย ทั้งกับแกล้ม เมนูอาหารจานหลัก และเครื่องดื่มทั้งแบบมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ แน่นอนว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลที่อยู่ในพื้นที่ค่ะ
และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่พวกเราได้สั่งมาทานกัน ทั้งปลาหมึกดิบ ที่ตอนแรกนะไม่คิดว่าจะลองทานเพราะกลัวว่าจะไม่อร่อย แต่พอเอาเข้าปากเท่านั้นแหละ ติดใจจนต้องสั่งเพิ่มกันเลยทีเดียว เพราะเนื้อปลาหมึกของเขาสดมากๆ แถมรสชาติก็ทั้งหวานกรุบและอร่อยด้วย
และเมนูอาหารจานหลักที่พลาดไม่ได้จริงๆ กับเหล่าบรรดาข้าวหน้าทะเล ที่พ่อครัวจะคัดสรรของทะเลสดๆ มาเสิร์ฟถึงที่เลย
สำหรับเมนูที่สั่งกันมาก็มีทั้ง... ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอน+ไข่หอยเม่น+กุ้งหวาน (เห็นสีแบบนี้ เป็นกุ้งดิบนะจ๊ะ =..= )
ส่วนจานนี้นะกับพี่ๆ หลายคนได้สั่งมาทานกันกับ ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอน+ไข่หอยเม่น+หอยเชลล์
และจานนี้ สำหรับที่อยากทานของทะเลแบบหลากหลายสิ่ง ก็สั่งเมนูอาหารแบบนี้ได้เลย... แต่จำชื่อเมนูอาหารไม่ได้แล้วล่ะว่ามันมีชื่อเฉพาะมั้ย ฮาาา ><"
เอาเป็นว่า หลังจากที่ได้ทานไป นะและพี่ๆ ต่างก็รู้สึกฟินเฟ่อกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะตัวนะเองที่เพิ่งได้ทานข้าวหน้าทะเลถึงถิ่นเป็นครั้งแรกก็ยังรู้สึกติดใจจนถึงทุกวันนี้เลยล่ะค่ะ
หลังจากที่ทานกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็มาวางแพลนกันต่อว่าจะไปที่ไหนดี ซึ่งเนื่องจากว่าในตอนนั้นเวลาก็เริ่มล่วงเลยมาพอสมควร และสถานที่ท่องเที่ยวกับร้านอาหารและร้านขายของส่วนใหญ่ต่างก็ปิดให้บริการแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะเดินทางไปยัง Kanemori Red Brick Warehouse โดยรถรางเพื่อเดินชมวิวในยามค่ำคืน
ระหว่างทางที่เดินไปยังสถานีเพื่อขึ้นรถราง ก็เจอกับตู้กดน้ำอัตโนมัติที่มีเครื่องดื่มให้เลือกหลายอย่างเลย แถมยังได้เจอเครื่องดื่มที่มีหน้าฉลากส่วนหนึ่งเป็นภาษาไทยด้วย ซึ่งก็ได้มีโอกาสลองดื่มในเวลาต่อมา เดี๋ยวไว้จะมาบอกเล่าความรู้สึกหลังจากที่ได้ดื่มเข้าไปล่ะนะ ><
นอกจากนี้ ระหว่างทางที่เดินซึ่งในเวลานั้นมีคนออกมาเดินกันน้อยมากๆ พวกเราก็ได้เจอกับกลุ่มคนไทยกล่มใหญ่ๆ ที่ออกมาเดินเที่ยวในยามค่ำคืนเช่นกัน และพวกเราก็ได้บัตรขึ้นรถรางแบบ One day pass มาฟรีๆ ด้วย ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแท้ๆ ^^
หลังจากที่รอรถรางได้ซักพัก เราก็ได้ขึ้นรถรางจากหน้าสถานี Hakodate Eki-Mae ไปลงที่สถานี Jujigai แล้วเดินต่อไปยัง Kanemori Red Brick Warehouse
และนี่ก็เป็นตัวหน้าตารถรางและภายในตัวรถรางค่ะ
หลังจากที่พวกเราได้เดินกันมาซักพัก ในที่สุดก็มาถึงที่หน้าป้ายทางเข้า Kanemori Red Brick Warehouse
ในตอนที่มาถึงก็ราวๆ 3 ทุ่มกว่าได้แล้ว ซึ่งร้านรวงต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ปิดกันหมดแล้วค่ะ บรรยากาศโดยรวมจึงดูเงียบเหงาไปหน่อย และนี่ก็เป็นแผนที่ภายใน Kanemori Red Brick Warehouse ล่ะ
แน่นอนว่ามาถึงที่ทั้งที ก็ต้องไปเยือนโกดังอิฐแดงริมทะเลที่เป็นจุดแลนด์มาร์คของที่นี่กันหน่อยล่ะ ซึ่งก็ได้ไปยลโฉมสมความตั้งใจนะ ^^
และบริเวณฝั่งตรงข้ามของโกดังอิฐแดง ก็ยังเป็นที่ตั้งของร้านขายเบอร์เกอร์ "Lucky Pierrot" ที่เขาว่ากันว่าขึ้นชื่อมากๆ ไม่แพ้กับข้าวหน้าทะเลเลย
แต่เนื่องจากว่าพวกนะได้อิ่มหนำสำราญไปกับเมนูข้าวหน้าทะเลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เลยตัดสินใจเพียงแค่ลองเครื่องดื่มของทางร้านโดยกดจากตู้ขายน้ำอัตโนมัตินั่นเอง กับเจ้า "Lucky Guarana" ซึ่งเป็นน้ำอัดลมที่รสชาติอร่อยดีนะ ส่วนรายละเอียดนั้น จำไม่ได้แล้วจริงๆ ว่าเป็นยังไงบ้าง รู้แค่ว่ารสชาติของมันดีมากๆ ^^
ที่จริงแล้ว สถานที่เที่ยวในฮาโกดาเตะยังมีอีกเยอะเลยล่ะ อย่างเช่น หอคอยโกเรียวคาคุ, ภูเขาฮาโกดาเตะ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกมากมาย ...แต่น่าเสียดายมากๆ ที่คราวนี้พวกนะมีเวลาเที่ยวที่นี่น้อยมากๆ ไว้จะหาเวลามาแก้ตัวใหม่นะคะ ><"
สำหรับใครที่แพลนจะเดินทางไปฮาโกดาเตะ ขอแนะนำว่า ถ้าอยากมาเที่ยวที่เมืองนี้แบบถ้วนทั่ว ควรต้องอยู่อย่างน้อย 2 คืนนะ และที่สำคัญอีกอย่างคือ ถึงฮาโกดาเตะจะเป็นเมืองที่สวย แต่ก็ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ ดังนั้น ร้านรวงต่างๆ จะปิดทำการเร็วมากค่ะ จึงอยากให้ทุกคนคอยระวังจุดนี้ด้วยนะ ^^"
การเดินทางในฮาโกดาเตะของพวกนะยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีอีกนิดหน่อย ไว้จะมาเขียนเล่าในนี้ในคราวต่อไปเน่อ >w<
ナナ~♪
ด้วยความที่เดินทางตรากตรำมาหลายชั่วโมง ประกอบกับเจออากาศร้อนอบอ้าวจนเหงื่อออกต่างน้ำ หลังจากที่เช็คอินแล้ว เลยตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำ สระผม และแปรงฟันโดยทันที
...แต่เพียงแค่อาบน้ำและสระผมเสร็จ ยังไม่ทันจะได้แปรงฟัน จู่ๆ พี่ที่ไปด้วยกันก็เข้ามาบอกว่า ต้องออกไปทานข้าวเย็นกันแล้วนะ เพราะถ้าไม่ออกตอนนี้ ร้านอาหารจะปิดหมดแล้ว...
ร้านอาหารจะปิดหมดแล้ว...
ร้านอาหารจะปิดหมดแล้ว...
ร้านอาหารจะปิดหมดแล้ว...
ม่ายน้าาาาาา เค้าไม่ได้แปรงฟันมา 1 วันเต็มๆ แล้วน้าาาาา เก๊าอยากแปรงฟัน พลีสสสสสสส!! T_T
...แต่ก็ทำได้เพียงร้องออกมาในใจ แล้วรีบแต่งตัวออกไปหาอะไรทานโดยฉับพลัน orz
หลังจากที่เดินออกจากโรงแรม พวกเราต่างก็พากันดูคู่มือและลองเดินเซอร์เวย์หาร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ กับที่พัก
แน่นอนว่า... เมื่อมาถึงฮาโกดาเตะทั้งที ก็ต้องมาทาน...
"ข้าวหน้าทะเล" หรือ "ไคเซนด้ง" (海鮮丼) สิจ๊ะ!! >w<
หลังจากที่เดินหาร้านมาได้พักใหญ่ๆ ในที่สุดก็ไปสะดุดอยู่ตรงหน้าร้าน "อะบุยะ" (あぶや) ร้านอิซากายะเล็กๆ ใกล้ๆ กับตลาดเช้าฮาโกดาเตะ หลังจากที่มองภาพเมนูหน้าร้านและราคากัน ก็ตัดสินใจเดินเข้าร้านทันที ^^
ภายในร้าน ก็มีเมนูอาหารให้เลือกหลากหลาย ทั้งกับแกล้ม เมนูอาหารจานหลัก และเครื่องดื่มทั้งแบบมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ แน่นอนว่าวัตถุดิบส่วนใหญ่เป็นอาหารทะเลที่อยู่ในพื้นที่ค่ะ
และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่พวกเราได้สั่งมาทานกัน ทั้งปลาหมึกดิบ ที่ตอนแรกนะไม่คิดว่าจะลองทานเพราะกลัวว่าจะไม่อร่อย แต่พอเอาเข้าปากเท่านั้นแหละ ติดใจจนต้องสั่งเพิ่มกันเลยทีเดียว เพราะเนื้อปลาหมึกของเขาสดมากๆ แถมรสชาติก็ทั้งหวานกรุบและอร่อยด้วย
และเมนูอาหารจานหลักที่พลาดไม่ได้จริงๆ กับเหล่าบรรดาข้าวหน้าทะเล ที่พ่อครัวจะคัดสรรของทะเลสดๆ มาเสิร์ฟถึงที่เลย
สำหรับเมนูที่สั่งกันมาก็มีทั้ง... ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอน+ไข่หอยเม่น+กุ้งหวาน (เห็นสีแบบนี้ เป็นกุ้งดิบนะจ๊ะ =..= )
ส่วนจานนี้นะกับพี่ๆ หลายคนได้สั่งมาทานกันกับ ข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอน+ไข่หอยเม่น+หอยเชลล์
และจานนี้ สำหรับที่อยากทานของทะเลแบบหลากหลายสิ่ง ก็สั่งเมนูอาหารแบบนี้ได้เลย... แต่จำชื่อเมนูอาหารไม่ได้แล้วล่ะว่ามันมีชื่อเฉพาะมั้ย ฮาาา ><"
เอาเป็นว่า หลังจากที่ได้ทานไป นะและพี่ๆ ต่างก็รู้สึกฟินเฟ่อกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะตัวนะเองที่เพิ่งได้ทานข้าวหน้าทะเลถึงถิ่นเป็นครั้งแรกก็ยังรู้สึกติดใจจนถึงทุกวันนี้เลยล่ะค่ะ
หลังจากที่ทานกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็มาวางแพลนกันต่อว่าจะไปที่ไหนดี ซึ่งเนื่องจากว่าในตอนนั้นเวลาก็เริ่มล่วงเลยมาพอสมควร และสถานที่ท่องเที่ยวกับร้านอาหารและร้านขายของส่วนใหญ่ต่างก็ปิดให้บริการแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะเดินทางไปยัง Kanemori Red Brick Warehouse โดยรถรางเพื่อเดินชมวิวในยามค่ำคืน
ระหว่างทางที่เดินไปยังสถานีเพื่อขึ้นรถราง ก็เจอกับตู้กดน้ำอัตโนมัติที่มีเครื่องดื่มให้เลือกหลายอย่างเลย แถมยังได้เจอเครื่องดื่มที่มีหน้าฉลากส่วนหนึ่งเป็นภาษาไทยด้วย ซึ่งก็ได้มีโอกาสลองดื่มในเวลาต่อมา เดี๋ยวไว้จะมาบอกเล่าความรู้สึกหลังจากที่ได้ดื่มเข้าไปล่ะนะ ><
นอกจากนี้ ระหว่างทางที่เดินซึ่งในเวลานั้นมีคนออกมาเดินกันน้อยมากๆ พวกเราก็ได้เจอกับกลุ่มคนไทยกล่มใหญ่ๆ ที่ออกมาเดินเที่ยวในยามค่ำคืนเช่นกัน และพวกเราก็ได้บัตรขึ้นรถรางแบบ One day pass มาฟรีๆ ด้วย ต้องขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อนแท้ๆ ^^
หลังจากที่รอรถรางได้ซักพัก เราก็ได้ขึ้นรถรางจากหน้าสถานี Hakodate Eki-Mae ไปลงที่สถานี Jujigai แล้วเดินต่อไปยัง Kanemori Red Brick Warehouse
และนี่ก็เป็นตัวหน้าตารถรางและภายในตัวรถรางค่ะ
หลังจากที่พวกเราได้เดินกันมาซักพัก ในที่สุดก็มาถึงที่หน้าป้ายทางเข้า Kanemori Red Brick Warehouse
ในตอนที่มาถึงก็ราวๆ 3 ทุ่มกว่าได้แล้ว ซึ่งร้านรวงต่างๆ ส่วนใหญ่ก็ปิดกันหมดแล้วค่ะ บรรยากาศโดยรวมจึงดูเงียบเหงาไปหน่อย และนี่ก็เป็นแผนที่ภายใน Kanemori Red Brick Warehouse ล่ะ
แน่นอนว่ามาถึงที่ทั้งที ก็ต้องไปเยือนโกดังอิฐแดงริมทะเลที่เป็นจุดแลนด์มาร์คของที่นี่กันหน่อยล่ะ ซึ่งก็ได้ไปยลโฉมสมความตั้งใจนะ ^^
และบริเวณฝั่งตรงข้ามของโกดังอิฐแดง ก็ยังเป็นที่ตั้งของร้านขายเบอร์เกอร์ "Lucky Pierrot" ที่เขาว่ากันว่าขึ้นชื่อมากๆ ไม่แพ้กับข้าวหน้าทะเลเลย
แต่เนื่องจากว่าพวกนะได้อิ่มหนำสำราญไปกับเมนูข้าวหน้าทะเลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เลยตัดสินใจเพียงแค่ลองเครื่องดื่มของทางร้านโดยกดจากตู้ขายน้ำอัตโนมัตินั่นเอง กับเจ้า "Lucky Guarana" ซึ่งเป็นน้ำอัดลมที่รสชาติอร่อยดีนะ ส่วนรายละเอียดนั้น จำไม่ได้แล้วจริงๆ ว่าเป็นยังไงบ้าง รู้แค่ว่ารสชาติของมันดีมากๆ ^^
ที่จริงแล้ว สถานที่เที่ยวในฮาโกดาเตะยังมีอีกเยอะเลยล่ะ อย่างเช่น หอคอยโกเรียวคาคุ, ภูเขาฮาโกดาเตะ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกมากมาย ...แต่น่าเสียดายมากๆ ที่คราวนี้พวกนะมีเวลาเที่ยวที่นี่น้อยมากๆ ไว้จะหาเวลามาแก้ตัวใหม่นะคะ ><"
สำหรับใครที่แพลนจะเดินทางไปฮาโกดาเตะ ขอแนะนำว่า ถ้าอยากมาเที่ยวที่เมืองนี้แบบถ้วนทั่ว ควรต้องอยู่อย่างน้อย 2 คืนนะ และที่สำคัญอีกอย่างคือ ถึงฮาโกดาเตะจะเป็นเมืองที่สวย แต่ก็ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ ดังนั้น ร้านรวงต่างๆ จะปิดทำการเร็วมากค่ะ จึงอยากให้ทุกคนคอยระวังจุดนี้ด้วยนะ ^^"
การเดินทางในฮาโกดาเตะของพวกนะยังไม่หมดแค่นี้ ยังมีอีกนิดหน่อย ไว้จะมาเขียนเล่าในนี้ในคราวต่อไปเน่อ >w<
ナナ~♪