DiaryTravelJapan
Japan Trip 2016 : Ep02 มุ่งสู่โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น
หลังจากที่พวกนะออกเดินทางด้วยเครื่องบินตั้งแต่เช้า ในที่สุดก็เดินทางมาถึงสนามบินนาริตะจนได้
เที่ยวบินที่พวกนะเดินทางนี้ พาพวกนะมาถึงสนามบินนาริตะเร็วกว่ากำหนดไปถึงครึ่ง ชม. เลยทีเดียว (จากกำหนดการเดิมต้องถึงนาริตะตอน 19.00 น. ตามเวลาญี่ปุ่น แต่พวกนะมาถึงจริงตอนประมาณเวลา 18.30 น.)
แต่ก่อนที่เครื่องจะลงจอดนั้น แรงดันอากาศค่อนข้างแรงมากเลยล่ะ จนถึงขั้นตอนที่จะลุกจากที่นั่งแล้วหยิบขวดน้ำออกมา ขวดน้ำก็มีสภาพเหมือนดังภาพเลย ^^" (แต่พอหมุนเปิดขวด ขวดก็กลับมาอยู่สภาพปกตินะ)
หลังจากที่พวกนะเดินออกจากเครื่องแล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความเย็น ซึ่งจำได้ว่าตอนที่เครื่องกำลังแลนด์ดิ้ง กัปตันประกาศว่าอุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 14 องศาเซลเซียส จากนั้นพวกนะก็เริ่มเดินไปยัง ตม. ญี่ปุ่นแบบเรื่อยๆ ชิลๆ ไม่รีบร้อนอะไร แถมมีเข้าห้องน้ำระหว่างทางด้วย โดยหารู้ไม่ว่า... กว่าจะเดินถึง ตม. นี่โคตรไกลมากกกก แถมยังต้องต่อแถวยาวเหยียดเพราะมีอีกหลายไฟลท์ที่บินมาลงในเวลาเดียวกัน ...แต่ถึงแบบนั้น ระหว่างทางทุกคนก็ถ่ายรูปเล่นชมวิวตอนก่อนถึง ตม. กันอย่างหนุกหนานมากมายเลยทีเดียว 5555
และกว่าที่พวกเราจะหลุดพ้นจาก ตม. และรับกระเป๋าสัมภาระเสร็จ เวลาก็ผ่านไปได้ ชม. กว่าๆ แล้ว... ซึ่งทุกคนต่างก็ไม่ประสบพบเจอกับปัญหาอะไร ...ยกเว้นของตัวเองที่มีปัญหา (จนถึงวันเดินทางกลับเลยทีเดียว... T^T)
แต่ปัญหาของตัวเองที่พบเจอจะเป็นอย่างไรนั้น ไว้จะเขียนเล่าต่อหลังจากนี้นะ
หลังจากที่ทุกคนผ่าน ตม. และรับสัมภาระเสร็จ ยังคงมีเวลาเหลือพอก่อนที่จะออกเดินทางไปยังที่พักตามแพลนที่ได้วางไว้ ทุกคนจึงได้ฝากท้องกับอาหารในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีทั้งข้าวปั้นและข้าวกล่องหลากหลายชนิดเลย (น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปช่วงนั้นมา ^^" ) และระหว่างที่ทุกคนแวะซื้ออะไรมาทานรองท้อง ตัวเองก็ได้ดำเนินเรื่องซื้อตั๋วรถไฟ Keisei Narita Sky Access เพื่อเดินทางเข้าสู่ที่พักย่านอาซาคุสะที่ตนเองได้ดำเนินการจองไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมา
ซึ่งเหตุผลที่เลือกใช้รถไฟ Keisei เนื่องจากว่าเส้นทางที่ผ่านนี้มีย่านอาซาคุสะรวมอยู่ด้วยจ้า
พวกเราออกเดินทางด้วยรถไฟ Keisei Narita Sky Access จากสถานี Narita Terminal 2 - Aoto จากนั้นก็เปลี่ยนขบวนไปนั่งรถไฟ Keisei Oshiage Line Local for NISHI-MAGOME จากสถานี Aoto ไปลงที่สถานี Asakusa
ระหว่างที่เดินทาง ยอมรับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะพวกเราทุกคนมีกระเป๋าเดินทางที่ต้องลากไปด้วยตลอดทางจนถึงที่พัก ซึ่งต้องอาศัยใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนเป็นหลัก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเรามาถึงสถานี Asakusa ก็ต้องหาทางออกเพื่อขึ้นสู่บนดินแล้วลากกระเป๋าต่อไปยังที่พัก ซึ่งกินเวลานานมากกว่า 15-20 นาที
แต่ถึงแบบนั้นก็คุ้มกับการลากกระเป๋าล่ะนะ เหตุผลน่ะหรอ?
เพราะได้เห็นวิวนี้ยังไงล่ะ ^^
ตอนที่ไปถึงอาซาคุสะก็เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งได้แล้ว พวกเราจึงต้องเร่งทำเวลานิดนึง เพราะแจ้งที่พักไว้ว่าจะมาถึงที่พักภายในเวลาห้าทุ่ม ซึ่งกว่าจะถึงที่พักได้นั้นก็ทุลักทุเลพอสมควรเลยเช่นกัน แต่ในที่สุดก็ถึงที่หมายเอาจนได้ ><"
ที่พักที่พวกเราทุกคนได้พักในระหว่างที่อยู่โตเกียว ก็คือ "Sakura Hostel Asakusa" ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่ตัวอาคารสีชมพูเหมือนดอกซากุระ อีกทั้งยังมีต้นซากุระตั้งเด่นตระหง่านอยู่หน้าที่พักด้วย ซึ่งตอนที่ไปถึงนั้นก็มืดพอสมควรแล้ว ส่วนตัวซากุระนั้น ดอกไม้เริ่มโรยไปบ้างจนเห็นออกใบเขียวๆ แล้ว แต่ก็ยังดูงดงามอยู่
ส่วนใครที่กำลังจินตนาการอยู่ว่าที่พักอยู่ห่างไกลจากสถานี Asakusa (Toei) ขนาดไหน ลองดูพิกัดใน Google Map ที่อยู่ด้านล่างได้เลยจ้ะ
หลังจากที่ถึงที่พักแล้ว พวกเราก็ทำการเช็คอินทันที พวกเราได้พักตรงบริเวณชั้น 5 โดยห้องที่ได้ก็เป็นห้องพักสำหรับ 6 คน ซึ่งจะเป็นเตียง 2 ชั้น รวมทั้งหมด 3 เตียงค่ะ ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำ ต้องออกไปที่ห้องอาบน้ำของชั้นดังกล่าว ซึ่งเขาแยกชาย-หญิงเอาไว้ให้อยู่แล้ว
เมื่อทุกคนจัดที่นอนและวางข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะออกไปจากห้องอีกรอบ นะก็รีบตรวจสอบกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองทันทีค่ะ จากที่ได้เกริ่นๆ ไปนิดนึงแล้ว ...และนี่คือปัญหาที่นะต้องเผชิญตลอดการเดินทางในครั้งนี้ล่ะ
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ... "กระเป๋าเดินทางล้อแตก" ล่ะ ฮือออออ T^T
จะบอกว่า ตอนที่ออกเดินทางจากดอนเมือง สภาพกระเป๋ายังโอเค 100% อยู่เลย... แต่ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากได้รับกระเป๋าแล้วถึงได้มีสภาพแบบนี้ก็ไม่รู้ orz
แถมที่ตัวเองพลาดอีกอย่างก็คือ พอปัญหาเกิด แต่เนื่องจากความรีบร้อนต้องออกเดินทาง เลยไม่ได้รีบแจ้งเรื่องกับทางสายการบินตรงปลายทางเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น งานนี้ถึงแม้จะทำประกันการเดินทางไว้ก็ไม่ช่วยอะไรเลย... ตะเตือนไตตตตต ซึ่งเรื่องนี้ก็เพิ่งจะมารู้เรื่องขั้นตอนทีหลังก็ตอนหลังจากที่เข้าพักได้ 1-2 วัน แล้วแหละ
ยังดีนะที่ทริปคราวนี้ไม่ต้องเปลี่ยนที่พักรายวัน ไม่งั้นล่ะคงแย่กว่านี้แน่ๆ ^^"
หลังจากที่เช็คสภาพกระเป๋าเรียบร้อย ก็พากันออกไปหาอะไรทานตอนกลางดึก เนื่องจากที่ทานรองท้องก่อนออกเดินทางยังไม่ช่วยให้อิ่มเท่าไหร่... แต่ก่อนที่จะหาร้านอาหารทาน นะได้ขอทุกคนแวะร้านสะดวกซื้อ Lawson ก่อนเป็นอันดับแรก
เหตุผลน่ะหรอ??
นี่ยังไงเล่าาาาา
เหตุผลที่ต้องรีบเข้าร้าน Lawson ก็เพราะต้องรีบซื้อตั๋วเข้าชม Fujiko F Fujio Museum รอบวันที่ 11 เมษายน 2559 ตอน 10.00 น. ให้ทันก่อนที่ตั๋วจะเต็มซะก่อน เนื่องจากว่าพิพิธภัณฑ์นี้เขาเปิดขายจำนวนจำกัดตามตู้ Loppi ในร้าน Lawson ของญี่ปุ่นเท่านั้น เลยต้องรีบทำเวลาหน่อย แหะๆๆๆ =////=
ส่วนรีวิวเกี่ยวกับ Fujiko F Fujio Museum ไว้จะมาเขียนลงบล็อกทีหลังเน่อออ เอาเป็นว่าแค่บอกเล่าก่อนว่าต้องรีบซื้อล่วงหน้าก่อนล่ะนะ ><"
หลังจากที่ทำธุระของตนเองเสร็จแล้ว ทุกคนต่างก็พากันหาร้านอาหารรอบดึก
ถ้าถามว่าในย่านอาซาคุสะแห่งนี้มีร้านไหนที่เปิดยันดึกๆ อย่างช่วงห้าทุ่ม-เที่ยงคืน หรือเปิดตลอด 24 ชม. ล่ะก็... ตอบเลยว่ามีนะ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นร้านซูชิล่ะ
ทีนี้... อุปสรรคต่อไปก็คือ... ในกลุ่มที่ไปกันนี้ มีอยู่ 2 คนที่ไม่ทานของดิบล่ะ =_=
ดังนั้น จึงต้องหาร้านซูชิที่มีเมนูของสุกๆ ไม่ดิบอยู่ด้วย (เอาเป็นว่า อย่างน้อยมีเมนูซูชิแซลมอนย่างไฟจนสุกก็ยังดีล่ะนะ)
และสุดท้าย หวยก็มาลงที่ร้านนี้ค่ะ ร้าน "Tsukiji Sushi Sen"
ที่บริเวณหน้าร้านก็มีเมนูหลากหลายให้เลือกเลย (แต่เน้นไปที่เมนูซูชิเป็นหลัก) ซึ่งร้านนี้ก็สามารถตอบโจทย์พวกนะได้ทุกอย่าง ไม่นานเกินรอ พวกนะก็เดินเข้าร้านทันที
ในมื้อนั้น ทุกคนต่างก็ได้จัดเต็มกับซูชิที่ได้สั่งมากัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวนะเองก็ขอจัดเต็มให้หายอยากเหมือนกัน กับเมนูนี้เลย "Sushi Sen Omakasenigiri" หรือ "Duluxe Sushi"
ที่นี่ ราคาซูชิจะเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 1,000-3,000 เยน โดยประมาณ แถมเปิดตลอด 24 ชม. เลย รสชาติก็อร่อยดีด้วย ใครที่สนใจก็แวะไปลองทานกันได้นะ อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเลยจ้า ^^
หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกับน้องซูชิแล้ว ก่อนกลับที่พัก พวกนะก็ได้แวะร้านสะดวกซื้อ Familymart เพื่อดูของและซื้อเสบียงมาตุนไว้ ซึ่งที่นี่นะได้พบกับเจ้าสิ่งนี้ด้วยล่ะ!!
ไอศกรีม Giant ของกูลิโกะนี่เองงงงงง~~
จะบอกว่าตอนอยู่เมืองไทย ตัวเองยังไม่เคยได้กินเจ้าไอศกรีมนี้เลยซักครั้ง (ไปถึงตู้ ของหมดก่อน... orz ) พอมีโอกาสได้เจอแล้ว... รอช้าอยู่ไย จัดไปสิจ๊ะ ถึงอุณหภูมิรอบๆ จะเหลือเลขตัวเดียวก็บ่ยั่นล่ะงานนี้!!
อาหย่อยยยยย บรื๋ออออ หนาววววว~~~
...และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันแรกของการเดินทางคราวนี้จ้า ซึ่งนี่ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นนะ ตอนต่อไปจะมาพูดถึงเหตุการณ์ในวันต่อไปล่ะ รับรองว่าทั้งสนุก ฟิน และได้เซอร์ไพรส์กันแน่ๆ อย่าลืมติดตามกันนะ ^^
อ่านบันทึกการเดินทาง Japan Trip 2016 ย้อนหลัง
Japan Trip 2016 : Ep01 การเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!
ナナ~♪
แต่ก่อนที่เครื่องจะลงจอดนั้น แรงดันอากาศค่อนข้างแรงมากเลยล่ะ จนถึงขั้นตอนที่จะลุกจากที่นั่งแล้วหยิบขวดน้ำออกมา ขวดน้ำก็มีสภาพเหมือนดังภาพเลย ^^" (แต่พอหมุนเปิดขวด ขวดก็กลับมาอยู่สภาพปกตินะ)
หลังจากที่พวกนะเดินออกจากเครื่องแล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความเย็น ซึ่งจำได้ว่าตอนที่เครื่องกำลังแลนด์ดิ้ง กัปตันประกาศว่าอุณหภูมิภายนอกอยู่ที่ 14 องศาเซลเซียส จากนั้นพวกนะก็เริ่มเดินไปยัง ตม. ญี่ปุ่นแบบเรื่อยๆ ชิลๆ ไม่รีบร้อนอะไร แถมมีเข้าห้องน้ำระหว่างทางด้วย โดยหารู้ไม่ว่า... กว่าจะเดินถึง ตม. นี่โคตรไกลมากกกก แถมยังต้องต่อแถวยาวเหยียดเพราะมีอีกหลายไฟลท์ที่บินมาลงในเวลาเดียวกัน ...แต่ถึงแบบนั้น ระหว่างทางทุกคนก็ถ่ายรูปเล่นชมวิวตอนก่อนถึง ตม. กันอย่างหนุกหนานมากมายเลยทีเดียว 5555
และกว่าที่พวกเราจะหลุดพ้นจาก ตม. และรับกระเป๋าสัมภาระเสร็จ เวลาก็ผ่านไปได้ ชม. กว่าๆ แล้ว... ซึ่งทุกคนต่างก็ไม่ประสบพบเจอกับปัญหาอะไร ...ยกเว้นของตัวเองที่มีปัญหา (จนถึงวันเดินทางกลับเลยทีเดียว... T^T)
แต่ปัญหาของตัวเองที่พบเจอจะเป็นอย่างไรนั้น ไว้จะเขียนเล่าต่อหลังจากนี้นะ
หลังจากที่ทุกคนผ่าน ตม. และรับสัมภาระเสร็จ ยังคงมีเวลาเหลือพอก่อนที่จะออกเดินทางไปยังที่พักตามแพลนที่ได้วางไว้ ทุกคนจึงได้ฝากท้องกับอาหารในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งมีทั้งข้าวปั้นและข้าวกล่องหลากหลายชนิดเลย (น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปช่วงนั้นมา ^^" ) และระหว่างที่ทุกคนแวะซื้ออะไรมาทานรองท้อง ตัวเองก็ได้ดำเนินเรื่องซื้อตั๋วรถไฟ Keisei Narita Sky Access เพื่อเดินทางเข้าสู่ที่พักย่านอาซาคุสะที่ตนเองได้ดำเนินการจองไว้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมา
ซึ่งเหตุผลที่เลือกใช้รถไฟ Keisei เนื่องจากว่าเส้นทางที่ผ่านนี้มีย่านอาซาคุสะรวมอยู่ด้วยจ้า
พวกเราออกเดินทางด้วยรถไฟ Keisei Narita Sky Access จากสถานี Narita Terminal 2 - Aoto จากนั้นก็เปลี่ยนขบวนไปนั่งรถไฟ Keisei Oshiage Line Local for NISHI-MAGOME จากสถานี Aoto ไปลงที่สถานี Asakusa
ระหว่างที่เดินทาง ยอมรับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะพวกเราทุกคนมีกระเป๋าเดินทางที่ต้องลากไปด้วยตลอดทางจนถึงที่พัก ซึ่งต้องอาศัยใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อนเป็นหลัก ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเรามาถึงสถานี Asakusa ก็ต้องหาทางออกเพื่อขึ้นสู่บนดินแล้วลากกระเป๋าต่อไปยังที่พัก ซึ่งกินเวลานานมากกว่า 15-20 นาที
แต่ถึงแบบนั้นก็คุ้มกับการลากกระเป๋าล่ะนะ เหตุผลน่ะหรอ?
เพราะได้เห็นวิวนี้ยังไงล่ะ ^^
ตอนที่ไปถึงอาซาคุสะก็เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งได้แล้ว พวกเราจึงต้องเร่งทำเวลานิดนึง เพราะแจ้งที่พักไว้ว่าจะมาถึงที่พักภายในเวลาห้าทุ่ม ซึ่งกว่าจะถึงที่พักได้นั้นก็ทุลักทุเลพอสมควรเลยเช่นกัน แต่ในที่สุดก็ถึงที่หมายเอาจนได้ ><"
ที่พักที่พวกเราทุกคนได้พักในระหว่างที่อยู่โตเกียว ก็คือ "Sakura Hostel Asakusa" ซึ่งมีจุดเด่นตรงที่ตัวอาคารสีชมพูเหมือนดอกซากุระ อีกทั้งยังมีต้นซากุระตั้งเด่นตระหง่านอยู่หน้าที่พักด้วย ซึ่งตอนที่ไปถึงนั้นก็มืดพอสมควรแล้ว ส่วนตัวซากุระนั้น ดอกไม้เริ่มโรยไปบ้างจนเห็นออกใบเขียวๆ แล้ว แต่ก็ยังดูงดงามอยู่
ส่วนใครที่กำลังจินตนาการอยู่ว่าที่พักอยู่ห่างไกลจากสถานี Asakusa (Toei) ขนาดไหน ลองดูพิกัดใน Google Map ที่อยู่ด้านล่างได้เลยจ้ะ
หลังจากที่ถึงที่พักแล้ว พวกเราก็ทำการเช็คอินทันที พวกเราได้พักตรงบริเวณชั้น 5 โดยห้องที่ได้ก็เป็นห้องพักสำหรับ 6 คน ซึ่งจะเป็นเตียง 2 ชั้น รวมทั้งหมด 3 เตียงค่ะ ส่วนห้องน้ำและห้องอาบน้ำ ต้องออกไปที่ห้องอาบน้ำของชั้นดังกล่าว ซึ่งเขาแยกชาย-หญิงเอาไว้ให้อยู่แล้ว
เมื่อทุกคนจัดที่นอนและวางข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะออกไปจากห้องอีกรอบ นะก็รีบตรวจสอบกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเองทันทีค่ะ จากที่ได้เกริ่นๆ ไปนิดนึงแล้ว ...และนี่คือปัญหาที่นะต้องเผชิญตลอดการเดินทางในครั้งนี้ล่ะ
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ... "กระเป๋าเดินทางล้อแตก" ล่ะ ฮือออออ T^T
จะบอกว่า ตอนที่ออกเดินทางจากดอนเมือง สภาพกระเป๋ายังโอเค 100% อยู่เลย... แต่ไม่รู้ว่าทำไมหลังจากได้รับกระเป๋าแล้วถึงได้มีสภาพแบบนี้ก็ไม่รู้ orz
แถมที่ตัวเองพลาดอีกอย่างก็คือ พอปัญหาเกิด แต่เนื่องจากความรีบร้อนต้องออกเดินทาง เลยไม่ได้รีบแจ้งเรื่องกับทางสายการบินตรงปลายทางเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น งานนี้ถึงแม้จะทำประกันการเดินทางไว้ก็ไม่ช่วยอะไรเลย... ตะเตือนไตตตตต ซึ่งเรื่องนี้ก็เพิ่งจะมารู้เรื่องขั้นตอนทีหลังก็ตอนหลังจากที่เข้าพักได้ 1-2 วัน แล้วแหละ
ยังดีนะที่ทริปคราวนี้ไม่ต้องเปลี่ยนที่พักรายวัน ไม่งั้นล่ะคงแย่กว่านี้แน่ๆ ^^"
หลังจากที่เช็คสภาพกระเป๋าเรียบร้อย ก็พากันออกไปหาอะไรทานตอนกลางดึก เนื่องจากที่ทานรองท้องก่อนออกเดินทางยังไม่ช่วยให้อิ่มเท่าไหร่... แต่ก่อนที่จะหาร้านอาหารทาน นะได้ขอทุกคนแวะร้านสะดวกซื้อ Lawson ก่อนเป็นอันดับแรก
เหตุผลน่ะหรอ??
นี่ยังไงเล่าาาาา
เหตุผลที่ต้องรีบเข้าร้าน Lawson ก็เพราะต้องรีบซื้อตั๋วเข้าชม Fujiko F Fujio Museum รอบวันที่ 11 เมษายน 2559 ตอน 10.00 น. ให้ทันก่อนที่ตั๋วจะเต็มซะก่อน เนื่องจากว่าพิพิธภัณฑ์นี้เขาเปิดขายจำนวนจำกัดตามตู้ Loppi ในร้าน Lawson ของญี่ปุ่นเท่านั้น เลยต้องรีบทำเวลาหน่อย แหะๆๆๆ =////=
ส่วนรีวิวเกี่ยวกับ Fujiko F Fujio Museum ไว้จะมาเขียนลงบล็อกทีหลังเน่อออ เอาเป็นว่าแค่บอกเล่าก่อนว่าต้องรีบซื้อล่วงหน้าก่อนล่ะนะ ><"
หลังจากที่ทำธุระของตนเองเสร็จแล้ว ทุกคนต่างก็พากันหาร้านอาหารรอบดึก
ถ้าถามว่าในย่านอาซาคุสะแห่งนี้มีร้านไหนที่เปิดยันดึกๆ อย่างช่วงห้าทุ่ม-เที่ยงคืน หรือเปิดตลอด 24 ชม. ล่ะก็... ตอบเลยว่ามีนะ แต่ส่วนใหญ่ที่เจอจะเป็นร้านซูชิล่ะ
ทีนี้... อุปสรรคต่อไปก็คือ... ในกลุ่มที่ไปกันนี้ มีอยู่ 2 คนที่ไม่ทานของดิบล่ะ =_=
ดังนั้น จึงต้องหาร้านซูชิที่มีเมนูของสุกๆ ไม่ดิบอยู่ด้วย (เอาเป็นว่า อย่างน้อยมีเมนูซูชิแซลมอนย่างไฟจนสุกก็ยังดีล่ะนะ)
และสุดท้าย หวยก็มาลงที่ร้านนี้ค่ะ ร้าน "Tsukiji Sushi Sen"
ที่บริเวณหน้าร้านก็มีเมนูหลากหลายให้เลือกเลย (แต่เน้นไปที่เมนูซูชิเป็นหลัก) ซึ่งร้านนี้ก็สามารถตอบโจทย์พวกนะได้ทุกอย่าง ไม่นานเกินรอ พวกนะก็เดินเข้าร้านทันที
ในมื้อนั้น ทุกคนต่างก็ได้จัดเต็มกับซูชิที่ได้สั่งมากัน ไม่เว้นแม้แต่ตัวนะเองก็ขอจัดเต็มให้หายอยากเหมือนกัน กับเมนูนี้เลย "Sushi Sen Omakasenigiri" หรือ "Duluxe Sushi"
ที่นี่ ราคาซูชิจะเฉลี่ยอยู่ที่ราวๆ 1,000-3,000 เยน โดยประมาณ แถมเปิดตลอด 24 ชม. เลย รสชาติก็อร่อยดีด้วย ใครที่สนใจก็แวะไปลองทานกันได้นะ อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเลยจ้า ^^
หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกับน้องซูชิแล้ว ก่อนกลับที่พัก พวกนะก็ได้แวะร้านสะดวกซื้อ Familymart เพื่อดูของและซื้อเสบียงมาตุนไว้ ซึ่งที่นี่นะได้พบกับเจ้าสิ่งนี้ด้วยล่ะ!!
ไอศกรีม Giant ของกูลิโกะนี่เองงงงงง~~
จะบอกว่าตอนอยู่เมืองไทย ตัวเองยังไม่เคยได้กินเจ้าไอศกรีมนี้เลยซักครั้ง (ไปถึงตู้ ของหมดก่อน... orz ) พอมีโอกาสได้เจอแล้ว... รอช้าอยู่ไย จัดไปสิจ๊ะ ถึงอุณหภูมิรอบๆ จะเหลือเลขตัวเดียวก็บ่ยั่นล่ะงานนี้!!
อาหย่อยยยยย บรื๋ออออ หนาววววว~~~
...และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันแรกของการเดินทางคราวนี้จ้า ซึ่งนี่ก็เป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นนะ ตอนต่อไปจะมาพูดถึงเหตุการณ์ในวันต่อไปล่ะ รับรองว่าทั้งสนุก ฟิน และได้เซอร์ไพรส์กันแน่ๆ อย่าลืมติดตามกันนะ ^^
อ่านบันทึกการเดินทาง Japan Trip 2016 ย้อนหลัง
Japan Trip 2016 : Ep01 การเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!
ナナ~♪