DiaryTravelJapan
Japan Trip 2016 : Ep06 ชมซากุระและภูเขาไฟฟูจิที่ Chureito Pagoda
พวกเราได้สัมผัสกับประสบการณ์การใส่ชุดกิโมโนและชุดฮาคามะ ชุดประจำชาติของญี่ปุ่น แล้วก็เดินเล่นถ่ายรูปกันในบริเวณวัดเซนโซจิและริมแม่น้ำสุมิดะกันอย่างอิ่มหนำสำราญใจ หนำซ้ำ ยังได้ไปดำเนินการแลก JR East Pass ที่สถานีอุเอโนะ, ได้ไปเดินเล่นดูของที่โยโดบาชิ ย่านอาคิบะ แถมยังได้มีประสบการณ์ฟินๆ ทั้งที่ AKB48 Cafe และที่หน้า AKB48 Theater ด้วย
เข้าสู่วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2559 เป็นวันที่ 3 ของทริปครั้งนี้แล้วค่ะ สำหรับโปรแกรมของพวกเราในวันนั้นก็คือ... การออกไปชมซากุระและภูเขาไฟฟูจิที่ Chureito Pagoda ที่จังหวัดยามานาชิในช่วงเช้า และการเดินทางกลับเข้าโตเกียวเพื่อไปยังศาลเจ้าเมจิและแวะซื้อของที่ย่านฮาราจูกุและโอโมเตะซันโดในช่วงบ่าย
สำหรับโปรแกรมในช่วงเช้าที่ว่ามานี้ จริงๆ แล้ว ก็มีการลังเลในการตัดสินใจอยู่หลายครั้งเลย เพราะเมื่อได้หาข้อมูล ก็พอจะรู้ว่าถ้าวันไหนสภาพอากาศไม่ดี ก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นภูเขาไฟฟูจิเลย ซึ่งในช่วงก่อนจะถึงวันเดินทาง นะก็ได้ลองหมั่นเช็คข้อมูลพยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นอยู่บ่อยๆ เลย ซึ่งบางช่วงสภาพอากาศก็กลายเป็นมีเมฆมาก และบางช่วงสภาพอากาศก็กลายเป็นแจ่มใสขึ้นมา... เล่นเอาหัวหมุนกันไปตามๆ กันเลย เพราะสมาชิกในกลุ่มต่างก็อยากเห็นภูเขาไฟฟูจิด้วยตาตัวเองจริงๆ แต่สุดท้าย ก็ได้ตัดสินใจว่าจะเดินทางไปกันจริงๆ เพราะเช็คดีแล้วว่าสภาพอากาศแจ่มใสล่ะ ^^
พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนหกโมงเช้า เพราะต้องขึ้นรถไฟด่วนที่สถานีชินจูกุให้ทันรอบเจ็ดโมงเช้า โดยในวันนั้นสมาชิกที่ร่วมเดินทางเหลือเพียง 5 ชีวิต เนื่องจากคุณเจ้ พี่ใหญ่ในกลุ่มเกิดงานเข้ากะทันหัน ประกอบกับสภาพร่างกายที่คิดว่าคงไม่สู้ไหว เลยขอปลีกตัวออกมาจ้ะ ^^"
พวกเราเดินออกจากที่พักมายังสถานี Asakusa แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดิน Metro ไปลงที่สถานี Ueno จากนั้นก็นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote จากสถานี Ueno ไปลงที่สถานี Shinjuku ซึ่งพวกเราเองได้เริ่มใช้ JR East Pass ตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ
เมื่อมาถึงสถานี Shinjuku แล้ว นะก็รีบพาเพื่อนๆ ออกไปซื้อข้าวกล่องเบนโตะที่ร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด เนื่องจากร้านขายข้าวกล่องในสถานีตอนนั้นหาแทบไม่เจอเลย สงสัยว่าคงเพราะยังเช้ามากๆ อยู่แหงมๆ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังโชคดีที่สามารถซื้อข้าวกล่องทันเวลาขึ้นรถไฟพอดีจนได้
พวกเราขึ้นรถไฟด่วนจากสถานี Shinjuku ไปลงที่สถานี Otsuki จากนั้นก็เปลี่ยนขบวนรถไฟไปนั่งรถไฟ Fujikyu กันค่ะ
เมื่อพวกเรามาถึงสถานี Otsuki ของทางรถไฟสาย Fujikyu ในช่วงระหว่างที่รอรถไฟที่จะนั่งไปต่ออยู่ พวกเราก็ได้พบกับรถไฟขบวนนี้ค่ะ
ถ้าจำไม่ผิด รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟด่วนของ Fujikyu เขาล่ะ หน้าตาขบวนรถน่ารักเอามากๆ เลย ><
ส่วนรถไฟขบวนที่พวกเราจะนั่ง เป็นรถไฟธรรมดาที่จอดทุกสถานี เนื่องจากว่าสถานีปลายทางที่พวกเรากำลังจะเดินทางไปต้องนั่งรถไฟแบบธรรมดาจอดทุกสถานีเท่านั้นค่ะ
และนี่ก็เป็นสภาพภายในขบวนรถที่ดูสะอาดตาเอามากๆ
สถานีที่พวกเรากำลังจะเดินทางไปก็คือ "สถานี Shimoyoshida" ค่ะ และนี่ก็เป็นหน้าตาของตั๋วรถไฟของเขา
ในช่วงระหว่างที่กำลังเดินทางนั้น พวกเราต่างก็ถ่ายรูปเล่นกันบ้าง เล่นโซเชี่ยลกันบ้าง และชมวิวทิวทัศน์ข้างนอกที่เต็มไปด้วยซากุระบ้าง
จนกระทั่งตอนที่เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว ตัวเองซึ่งนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายก็ได้สังเกตเห็นอะไรสีขาวๆ โผล่มา พอมองจนเห็นมุมที่สามารถเห็นได้ชัดแล้ว ก็พบว่ามันคือ...
"ภูเขาไฟฟูจิ" นั่นเองงงงง!!! เย่ๆๆๆ >w<
ในตอนนั้นทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันมาก อารมณ์แบบ เฮ้ยยยย แกรรรรร นี่มันของจริงใช่ม้ายยยย? นี่เราได้เห็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นแล้วสินะ กรี๊ดดดดด ...อะไรทำนองนั้นล่ะ คือมันดีมากๆ ><
พอนั่งมาได้อีกซักพัก พวกเราก็เดินทางมาถึงสถานี Shimoyoshida จนได้ค่ะ จะสังเกตได้ว่าที่ป้ายสถานีนี้มีระบุไว้อยู่หลายภาษาเลย โดยเฉพาะภาษาไทย ...แสดงว่าต้องมีคนไทยมาเที่ยวเยอะๆ แน่ๆ ^^"
สำหรับการเดินทางจากสถานี Shimoyoshida ไปยัง Chureito Pagoda นั้น ขอบอกเลยว่า ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะจากสถานีรถไฟ ต้องเดินเท้าไปอีกพอสมควรเลยล่ะ ตามแผนที่ในภาพนี้เลย
แต่สำหรับใครที่ไม่คล่องเส้นทางก็ไม่ต้องห่วง เพราะที่หน้าสถานี เขามีป้ายแผนที่บอกทางอยู่นะเออ แถมช่วงที่พวกนะไปเขามีจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระพอดี ระหว่างทางจึงมีป้ายเขียนว่า 桜祭り ตลอดทาง ประกอบกับมีผู้คนที่เดินทางไปกันอย่างไม่ขาดสาย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะหลงเลยค่ะ
พวกเราเดินตามทางมาเรื่อยๆ จากหน้าสถานี ผ่านบ้านผู้คนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว จนข้ามทางหลวง (ถ้าจำไม่ผิด) มายังปากทางเข้าสวนสาธารณะ Arakura อันเป็นที่ตั้งของ Chureito Pagoda หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "เจดีย์ 5 ชั้น"
ตอนที่พวกเราเดินทางมาถึง ก็พบกับเจ้าหน้าที่หน้าทางเข้า ซึ่งพวกเขาก็เฟรนด์ลี่มากๆ คอยพูดยินดีต้อนรับตลอดเลย นอกจากเจ้าหน้าที่ที่เป็นมิตรแล้ว ซากุระก็เบ่งบานต้อนรับพวกเราด้วย ^^
และสิ่งที่เป็นอุปสรรคในระหว่างการเดินทางของพวกเราก็มาถึง นั่นก็คือ... บันไดหลายร้อยขั้นที่กำลังรอเราอยู่ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่เดินขึ้นไปก็กระไรอยู่นะยังไงก็สู้ตายแหละ!! ><"
ยอมรับตามตรงว่า ระหว่างทางที่ขึ้นนี่โคตรเหนื่อยมากกกก เหนื่อยหอบจนหยุดพักไปหลายๆ รอบเลย แต่พอเห็นว่ามีคนอายุรุ่นราวคราวพ่อแม่ตัวเองยังสามารถเดินขึ้นบันไดแบบชิลๆ ได้ เราก็ต้องทำได้ล่ะนะ
และสุดท้าย... ผลของความสำเร็จก็มาเยือน ภายหลังจากที่เดินขึ้นบันไดจนเหนื่อยหอบ
เรียกได้ว่าไม่คุ้มก็ต้องคุ้มล่ะค่ะงานนี้ มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ :)
แน่นอนว่ามาถึงที่แล้วก็ต้องมีถ่ายรูปกันบ้างอะไรบ้างนะ ว่าแล้วก็ขอหยิบภาพที่ถ่ายจากกล้องของเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่มมาลงละกันจ้า ชอบมากๆ ^^
และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ... วิวมหาชนของที่นี่ ><
หลังจากที่พวกเราดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของภูเขาไฟฟูจิและซากุระมาพอสมควร พวกเราก็พากันเดินลงมา แต่คราวนี้พวกเราเลือกเส้นทางทางลาดที่ไม่ใช่เป็นแบบขั้นบันไดล่ะ เห็นหนึ่งในนั้นที่ตอนเดินขึ้นเจ้าตัวกลับเลือกเดินขึ้นทางลาดหรือทางรถยนต์ เจ้าตัวบอกว่าขึ้นแบบทางลาดสบายกว่าทางขึ้นแบบบันไดเยอะเลยยย
ซึ่งบรรยากาศตอนที่เดินลงทางลาดก็แตกต่างจากทางเดินแบบขั้นบันไดนะ ซึ่งถ้าเป็นแบบทางลาด เราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ของต้นสนด้วย
เมื่อเดินลงมาจนเกือบถึงด้านล่าง เราก็จะได้พบกับศาลเจ้า ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากศาลเจ้าก็เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลชมดอกซากุระด้วย โดยในบริเวณดังกล่าวก็มีร้านขายอาหารตั้งอยู่เรียงราย และมีโต๊ะ-เก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้ได้นั่งทานอาหารกันพร้อมกับชมดอกซากุระไปด้วย
พวกเราอยู่กันจนถึงราวๆ เกือบ 11 โมง ก็รีบเดินทางกลับเข้ากรุงโตเกียว ซึ่งก่อนออกเดินทาง นอกจากจะได้เจอล่ามชาวไทยที่มาทำหน้าที่และคอยให้บริการพวกเราเป็นอย่างดีแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปตัวสถานี Shimoyoshida ที่มีภูเขาไฟฟูจิอยู่เป็นฉากหลังด้วย ^^
พวกเราออกเดินทางโดยย้อนกลับทางเดิมมายังสถานี Otsuki ซึ่งตอนที่กลับมาถึงสถานี Otsuki ก็ได้เจอกับรถไฟขบวนนี้ด้วย เซอร์ไพรส์มากๆ เลยไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
และในระหว่างที่รอรถไฟด่วนของ JR เพื่อกลับสู่สถานี Shinjuku พวกเราก็ได้แวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านค้าในสถานีด้วย ซึ่งเป็นร้านขายโซบะและอุด้งค่ะ
ที่ร้านนี้จะมีลักษณะการสั่งอาหารแบบกดตู้ ซึ่งก็มีให้เลือกหลายภาษาด้วย
และนี่ก็เป็นเมนูที่ได้สั่งไป ชื่อเมนู "Kakiage Soba" (かき揚げそば) รสชาติก็อร่อยดีนะ ^^
ราคาเฉลี่ยของเมนูร้านนี้จะอยู่ระหว่าง 300-500 เยน ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยล่ะ เมื่อเทียบกับร้านอาหารประเภทอื่นๆ ถ้าหากว่าเจอร้านโซบะหรืออุด้งล่ะก็ อย่าลืมหาโอกาสนั่งทานให้ได้นะ
และนี่ก็เป็นบันทึกการเดินทางตลอดในช่วงเช้าของวันนั้น ซึ่งก็ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะยังมีช่วงบ่ายให้ได้เขียนถึงอีก ไว้มาติดตามต่อกันในตอนหน้านะจ๊ะ ;)
ปล. ว่าแล้วก็ขอฝากบล็อกของคุณเพื่อนอีกท่านหนึ่งที่เดินทางไปเที่ยวด้วยกันด้วยนะจ๊ะ ตอนนี้เจ้าตัวเขียนไปสองตอนล่ะ หุหุหุ =..=
เที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุสายแดก by hades072
เที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุสายแดก ตอนที่ 1 แค่วันแรกก็เหนื่อยแล้ว!!
เที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุสายแดก ตอนที่ 2 แปลงโฉมเป็นสาวญี่ปุ่น
อ่านบันทึกการเดินทาง Japan Trip 2016 ย้อนหลัง
Japan Trip 2016 : Ep01 การเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!
Japan Trip 2016 : Ep02 มุ่งสู่โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น
Japan Trip 2016 : Ep03 เดินชมวิวยามเช้าที่อาซาคุสะ
Japan Trip 2016 : Ep04 เช่ากิโมโนใส่เดินเล่นที่วัดเซนโซจิและริมแม่น้ำสุมิดะ
Japan Trip 2016 : Ep05 ฟินๆ กับถิ่นกำเนิดของสาวๆ วง AKB48
ナナ~♪
พวกเราออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนหกโมงเช้า เพราะต้องขึ้นรถไฟด่วนที่สถานีชินจูกุให้ทันรอบเจ็ดโมงเช้า โดยในวันนั้นสมาชิกที่ร่วมเดินทางเหลือเพียง 5 ชีวิต เนื่องจากคุณเจ้ พี่ใหญ่ในกลุ่มเกิดงานเข้ากะทันหัน ประกอบกับสภาพร่างกายที่คิดว่าคงไม่สู้ไหว เลยขอปลีกตัวออกมาจ้ะ ^^"
พวกเราเดินออกจากที่พักมายังสถานี Asakusa แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดิน Metro ไปลงที่สถานี Ueno จากนั้นก็นั่งรถไฟ JR สาย Yamanote จากสถานี Ueno ไปลงที่สถานี Shinjuku ซึ่งพวกเราเองได้เริ่มใช้ JR East Pass ตั้งแต่ตอนนั้นค่ะ
เมื่อมาถึงสถานี Shinjuku แล้ว นะก็รีบพาเพื่อนๆ ออกไปซื้อข้าวกล่องเบนโตะที่ร้านสะดวกซื้อที่ใกล้ที่สุด เนื่องจากร้านขายข้าวกล่องในสถานีตอนนั้นหาแทบไม่เจอเลย สงสัยว่าคงเพราะยังเช้ามากๆ อยู่แหงมๆ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังโชคดีที่สามารถซื้อข้าวกล่องทันเวลาขึ้นรถไฟพอดีจนได้
พวกเราขึ้นรถไฟด่วนจากสถานี Shinjuku ไปลงที่สถานี Otsuki จากนั้นก็เปลี่ยนขบวนรถไฟไปนั่งรถไฟ Fujikyu กันค่ะ
เมื่อพวกเรามาถึงสถานี Otsuki ของทางรถไฟสาย Fujikyu ในช่วงระหว่างที่รอรถไฟที่จะนั่งไปต่ออยู่ พวกเราก็ได้พบกับรถไฟขบวนนี้ค่ะ
ถ้าจำไม่ผิด รถไฟขบวนนี้เป็นรถไฟด่วนของ Fujikyu เขาล่ะ หน้าตาขบวนรถน่ารักเอามากๆ เลย ><
ส่วนรถไฟขบวนที่พวกเราจะนั่ง เป็นรถไฟธรรมดาที่จอดทุกสถานี เนื่องจากว่าสถานีปลายทางที่พวกเรากำลังจะเดินทางไปต้องนั่งรถไฟแบบธรรมดาจอดทุกสถานีเท่านั้นค่ะ
และนี่ก็เป็นสภาพภายในขบวนรถที่ดูสะอาดตาเอามากๆ
สถานีที่พวกเรากำลังจะเดินทางไปก็คือ "สถานี Shimoyoshida" ค่ะ และนี่ก็เป็นหน้าตาของตั๋วรถไฟของเขา
ในช่วงระหว่างที่กำลังเดินทางนั้น พวกเราต่างก็ถ่ายรูปเล่นกันบ้าง เล่นโซเชี่ยลกันบ้าง และชมวิวทิวทัศน์ข้างนอกที่เต็มไปด้วยซากุระบ้าง
จนกระทั่งตอนที่เดินทางมาได้ครึ่งทางแล้ว ตัวเองซึ่งนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายก็ได้สังเกตเห็นอะไรสีขาวๆ โผล่มา พอมองจนเห็นมุมที่สามารถเห็นได้ชัดแล้ว ก็พบว่ามันคือ...
"ภูเขาไฟฟูจิ" นั่นเองงงงง!!! เย่ๆๆๆ >w<
ในตอนนั้นทุกคนต่างก็ตื่นเต้นกันมาก อารมณ์แบบ เฮ้ยยยย แกรรรรร นี่มันของจริงใช่ม้ายยยย? นี่เราได้เห็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นแล้วสินะ กรี๊ดดดดด ...อะไรทำนองนั้นล่ะ คือมันดีมากๆ ><
พอนั่งมาได้อีกซักพัก พวกเราก็เดินทางมาถึงสถานี Shimoyoshida จนได้ค่ะ จะสังเกตได้ว่าที่ป้ายสถานีนี้มีระบุไว้อยู่หลายภาษาเลย โดยเฉพาะภาษาไทย ...แสดงว่าต้องมีคนไทยมาเที่ยวเยอะๆ แน่ๆ ^^"
สำหรับการเดินทางจากสถานี Shimoyoshida ไปยัง Chureito Pagoda นั้น ขอบอกเลยว่า ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะจากสถานีรถไฟ ต้องเดินเท้าไปอีกพอสมควรเลยล่ะ ตามแผนที่ในภาพนี้เลย
แต่สำหรับใครที่ไม่คล่องเส้นทางก็ไม่ต้องห่วง เพราะที่หน้าสถานี เขามีป้ายแผนที่บอกทางอยู่นะเออ แถมช่วงที่พวกนะไปเขามีจัดงานเทศกาลชมดอกซากุระพอดี ระหว่างทางจึงมีป้ายเขียนว่า 桜祭り ตลอดทาง ประกอบกับมีผู้คนที่เดินทางไปกันอย่างไม่ขาดสาย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะหลงเลยค่ะ
พวกเราเดินตามทางมาเรื่อยๆ จากหน้าสถานี ผ่านบ้านผู้คนที่อยู่ในบริเวณดังกล่าว จนข้ามทางหลวง (ถ้าจำไม่ผิด) มายังปากทางเข้าสวนสาธารณะ Arakura อันเป็นที่ตั้งของ Chureito Pagoda หรือที่คนไทยเรียกกันว่า "เจดีย์ 5 ชั้น"
ตอนที่พวกเราเดินทางมาถึง ก็พบกับเจ้าหน้าที่หน้าทางเข้า ซึ่งพวกเขาก็เฟรนด์ลี่มากๆ คอยพูดยินดีต้อนรับตลอดเลย นอกจากเจ้าหน้าที่ที่เป็นมิตรแล้ว ซากุระก็เบ่งบานต้อนรับพวกเราด้วย ^^
และสิ่งที่เป็นอุปสรรคในระหว่างการเดินทางของพวกเราก็มาถึง นั่นก็คือ... บันไดหลายร้อยขั้นที่กำลังรอเราอยู่ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว จะไม่เดินขึ้นไปก็กระไรอยู่นะยังไงก็สู้ตายแหละ!! ><"
ยอมรับตามตรงว่า ระหว่างทางที่ขึ้นนี่โคตรเหนื่อยมากกกก เหนื่อยหอบจนหยุดพักไปหลายๆ รอบเลย แต่พอเห็นว่ามีคนอายุรุ่นราวคราวพ่อแม่ตัวเองยังสามารถเดินขึ้นบันไดแบบชิลๆ ได้ เราก็ต้องทำได้ล่ะนะ
และสุดท้าย... ผลของความสำเร็จก็มาเยือน ภายหลังจากที่เดินขึ้นบันไดจนเหนื่อยหอบ
เรียกได้ว่าไม่คุ้มก็ต้องคุ้มล่ะค่ะงานนี้ มาไม่เสียเที่ยวจริงๆ :)
แน่นอนว่ามาถึงที่แล้วก็ต้องมีถ่ายรูปกันบ้างอะไรบ้างนะ ว่าแล้วก็ขอหยิบภาพที่ถ่ายจากกล้องของเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่มมาลงละกันจ้า ชอบมากๆ ^^
และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ... วิวมหาชนของที่นี่ ><
หลังจากที่พวกเราดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของภูเขาไฟฟูจิและซากุระมาพอสมควร พวกเราก็พากันเดินลงมา แต่คราวนี้พวกเราเลือกเส้นทางทางลาดที่ไม่ใช่เป็นแบบขั้นบันไดล่ะ เห็นหนึ่งในนั้นที่ตอนเดินขึ้นเจ้าตัวกลับเลือกเดินขึ้นทางลาดหรือทางรถยนต์ เจ้าตัวบอกว่าขึ้นแบบทางลาดสบายกว่าทางขึ้นแบบบันไดเยอะเลยยย
ซึ่งบรรยากาศตอนที่เดินลงทางลาดก็แตกต่างจากทางเดินแบบขั้นบันไดนะ ซึ่งถ้าเป็นแบบทางลาด เราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ของต้นสนด้วย
เมื่อเดินลงมาจนเกือบถึงด้านล่าง เราก็จะได้พบกับศาลเจ้า ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากศาลเจ้าก็เป็นสถานที่จัดงานเทศกาลชมดอกซากุระด้วย โดยในบริเวณดังกล่าวก็มีร้านขายอาหารตั้งอยู่เรียงราย และมีโต๊ะ-เก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้ให้ได้นั่งทานอาหารกันพร้อมกับชมดอกซากุระไปด้วย
พวกเราอยู่กันจนถึงราวๆ เกือบ 11 โมง ก็รีบเดินทางกลับเข้ากรุงโตเกียว ซึ่งก่อนออกเดินทาง นอกจากจะได้เจอล่ามชาวไทยที่มาทำหน้าที่และคอยให้บริการพวกเราเป็นอย่างดีแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปตัวสถานี Shimoyoshida ที่มีภูเขาไฟฟูจิอยู่เป็นฉากหลังด้วย ^^
พวกเราออกเดินทางโดยย้อนกลับทางเดิมมายังสถานี Otsuki ซึ่งตอนที่กลับมาถึงสถานี Otsuki ก็ได้เจอกับรถไฟขบวนนี้ด้วย เซอร์ไพรส์มากๆ เลยไม่ลืมที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก
และในระหว่างที่รอรถไฟด่วนของ JR เพื่อกลับสู่สถานี Shinjuku พวกเราก็ได้แวะทานมื้อเที่ยงที่ร้านค้าในสถานีด้วย ซึ่งเป็นร้านขายโซบะและอุด้งค่ะ
ที่ร้านนี้จะมีลักษณะการสั่งอาหารแบบกดตู้ ซึ่งก็มีให้เลือกหลายภาษาด้วย
และนี่ก็เป็นเมนูที่ได้สั่งไป ชื่อเมนู "Kakiage Soba" (かき揚げそば) รสชาติก็อร่อยดีนะ ^^
ราคาเฉลี่ยของเมนูร้านนี้จะอยู่ระหว่าง 300-500 เยน ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยล่ะ เมื่อเทียบกับร้านอาหารประเภทอื่นๆ ถ้าหากว่าเจอร้านโซบะหรืออุด้งล่ะก็ อย่าลืมหาโอกาสนั่งทานให้ได้นะ
และนี่ก็เป็นบันทึกการเดินทางตลอดในช่วงเช้าของวันนั้น ซึ่งก็ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะยังมีช่วงบ่ายให้ได้เขียนถึงอีก ไว้มาติดตามต่อกันในตอนหน้านะจ๊ะ ;)
ปล. ว่าแล้วก็ขอฝากบล็อกของคุณเพื่อนอีกท่านหนึ่งที่เดินทางไปเที่ยวด้วยกันด้วยนะจ๊ะ ตอนนี้เจ้าตัวเขียนไปสองตอนล่ะ หุหุหุ =..=
เที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุสายแดก by hades072
เที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุสายแดก ตอนที่ 1 แค่วันแรกก็เหนื่อยแล้ว!!
เที่ยวญี่ปุ่นแบบโอตาคุสายแดก ตอนที่ 2 แปลงโฉมเป็นสาวญี่ปุ่น
อ่านบันทึกการเดินทาง Japan Trip 2016 ย้อนหลัง
Japan Trip 2016 : Ep01 การเดินทางครั้งใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!
Japan Trip 2016 : Ep02 มุ่งสู่โตเกียว เมืองหลวงของญี่ปุ่น
Japan Trip 2016 : Ep03 เดินชมวิวยามเช้าที่อาซาคุสะ
Japan Trip 2016 : Ep04 เช่ากิโมโนใส่เดินเล่นที่วัดเซนโซจิและริมแม่น้ำสุมิดะ
Japan Trip 2016 : Ep05 ฟินๆ กับถิ่นกำเนิดของสาวๆ วง AKB48
ナナ~♪